Fubar” นี่สิซีรีส์ ‘คนเหล็กผ่านิวเคลียร์’ ที่เราคู่ควร

ปี 1994 เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ได้กลับมาร่วมงานกับ อาร์โนลด์ ชวาร์ซเซเนกเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ที่เคยกอดคอกันสร้างตำนาน ‘คนเหล็ก’ จาก ‘The Terminator’ และ ‘Terminator 2: Judgement Day’ สู่ ‘True Lies’ หรือชื่อภาษาไทย ‘คนเหล็กผ่านิวเคลียร์’ ที่ว่าด้วยสายลับหนุ่มล่ำที่ปกปิดตัวตนการเป็น CIA จากภรรยาสุดที่รักจนเกิดเรื่องวายป่วงตามมา

สำหรับปี 2023 นี้คาเมรอนเองก็ได้มีโอกาสนำหนังเรื่องดังกล่าวมาปัดฝุ่นสร้างเป็นซีรีส์และนั่งแท่นอำนวยการสร้างบริหาร ส่วนชวาร์ซเซเนกเกอร์ขอมาเริ่มต้นใหม่กับพลอตเรื่องที่คุ้นเคยกับ ‘Fubar’ ซีรีส์แอ็กชันคอมเมดี้ที่เหมือนเอา ‘คนเหล็กผ่านิวเคลียร์’ มายำใหญ่ใส่สารพัดจนบันเทิงสะใจไม่แพ้หนังในตำนานเลย

https://e7887dcea7ff867e2b35422a960238bc.safeframe.googlesyndication.com/safeframe/1-0-40/html/container.html
https://youtube.com/watch?v=0oPZ77vT8O0%3Fversion%3D3%26rel%3D1%26showsearch%3D0%26showinfo%3D1%26iv_load_policy%3D1%26fs%3D1%26hl%3Den-US%26autohide%3D2%26wmode%3Dtransparent

‘Fubar’ เล่าเรื่องของเจ้าหน้าที่ลูค บรูนเนอร์ (รับบทโดยชวาร์ซเซเนกเกอร์) CIA ที่ใช้ชีวิตสองด้านโดยมีบริษัทขายอุปกรณ์ฟิตเนสเป็นฉากบังหน้าเขากับครอบครัว แต่เมื่อความจริงเปิดเผยว่า เอ็มมา (รับบทโดย โมนิกา บาร์บาโร, Monica Barbaro) ลูกสาวสุดสวยดันแอบเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนาม CIA งานนี้พ่อกับลูกเลยต้องร่วมมือกันหยุดโบโร โพโลเนีย (รับบทโดยแกเบรียล ลูนา, Gabriel Luna) พ่อค้าอาวุธนิวเคลียร์ที่เหมือนเป็นลูกชายบุญธรรมของบรูนเนอร์ และยังต้องปกปิดชีวิตสายลับจากครอบครัวและคนรักโดยไม่ฆ่ากันเองตายเสียก่อน

อย่างที่เราได้จั่วหัวไว้เลยครับนี่คือซีรีส์ ‘คนเหล็กผ่านิวเคลียร์’ ชัด ๆ เลยเพราะนอกจากจะนำแสดงโดย ‘คนเหล็ก’ อย่างชวาร์ซเซเนกเกอร์แล้ว มันยังเกี่ยวข้องกับพ่อค้านิวเคลียร์ในพลอตที่ก็ดันเหมือนเอา ‘True Lies’ มาเขย่าใส่ยาบ้าเพิ่มมุกห่ามฮาใต้สะดือปน ๆ กับโรแมนซ์เบา ๆ จนได้ซีรีส์ที่ยิ่งกว่าครบรสและสนุกเกินเบอร์ (เผลอ ๆ สนุกกว่า ‘True Lies’ ที่พะยี่ห้อของแท้เสียอีก)

ถึงจะยกความเหมือนหรือเทียบอะไรหลายอย่างแล้วทำให้ ‘Fubar’ ใกล้เคียงกับหนังดังตามที่เรากล่าวมา แต่อย่างหนึ่งที่ต้องชื่มชมเลยคือการเขียนบทซีรีส์ที่รู้ใจคนดูว่าอยากเห็นอะไร ไม่เฉพาะเอาใจแฟนหนังของชวาร์ซเซเนกเกอร์แต่หากเทียบง่าย ๆ ว่าบนโซฟาหน้าทีวีที่เปิด Netflix อยู่มีทั้งคุณลุง 50-60 อัป มีเด็กเจนวายในวัย 30+ หรือมีหญิงสาวในเจนใกล้เคียงกัน ซีรีส์สามารถเอนเตอร์เทนได้ถ้วนหน้าแบบไม่พึ่งสวัสดิการรัฐเลยครับ

ด้วยการสร้างคาแรกเตอร์ที่มีสีสันแทบทุกตัวทั้งลูคของชวาร์ซเซเนกเกอร์ที่เหมือนพระเอกคนเหล็กผ่านิวเคลียร์ในวัยใกล้ปลดเกษียณที่ต้องมาเผชิญหน้ากับลูกสาวสุดห้าวที่บาร์บาโรเองก็ทำให้เห็นแล้วว่าจากบท ‘นางผ่าน’ ใน ‘Top Guns: Maverick’ เธอมีฝีมือมากกว่าแค่ความสวยหวานหน้ามองเพียงอย่างเดียว ซึ่งเคมีพ่อลูกของทั้งคู่คือวัตถุดิบหลักเลยที่ทำให้ซีรีส์ออกมาบันเทิงกลมกล่อมและน่าประทับใจมาก

มาว่ากันถึงความโรแมนติกในส่วนของบาร์บาโรเองก็มีทั้งส่วนของความโรแมนติกกับเจย์ บารูเชล (Jay Baruchel) กับบทคาร์เตอร์หนุ่มจืดที่เหมือนเป็นหลุมหลบภัยของเอ็มมา และยังมีเรื่องราวกิ๊กกั๊กจั๊กกะจี๋หัวใจกับตัวละครอัลดอน หนุ่มหล่อล่ำสุดฮอตรับบทโดย ทราวิส แวน วิงเคิล (Travis Van Winkle) ที่น่าจะถูกใจบรรดาสาว ๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว

ด้านชวาร์ซเซเนกเกอร์ ก็ไม่เบาเพราะเหมือนความโรแมนติกจะเป็นแกนกลางของซีรีส์เราเลยได้เห็น ลูค ตามง้ออดีตภรรยาคนสวยอย่าง ทัลลี (รับบทโดย ฟาเบรียนา อูเดนีโอ, Fabiana Udenio) ด้วยสารพัดกลเม็ดจนทำให้คนดูได้ยิ้มกริ่มไปตลอดทั้งเรื่องและยังมีคู่รักสายเนิร์ดระหว่าง แบรี (รับบทโดย มิลาน คาร์เตอร์, Milan Carter) กี๊คประจำทีม CIA กับ ทีน่า (รับบทโดย อพาร์นา บรีล, Aparna Brielle) เจ้าหน้าที่ NSA สุดน่ารักที่ทั้งฮาทั้งหวานจนบันเทิงไม่เบา

แต่หากจะกล่าวว่าคนที่สร้างเสียงหัวเราะจนเป็นเอ็มวีพีประจำเรื่องคือใครก็คงต้องยกให้ ฟอร์จูน เฟมสเตอร์ (Fortune Feimster) เดี่ยวไมโครโฟนสาวห้าวที่มารับบท รู เจ้าหน้าที่ปากสุนัขประจำทีม ในขณะที่ชวาร์ซเซเนกเกอร์ก็ยังคงไว้ลายคนเหล็กสายฮาที่เราเคยประทับใจจาก ‘True Lies’ ปล่อยมุกโบ๊ะบ๊ะตลอดเรื่อง

ซึ่งเมื่อได้คาแรกเตอร์ที่ใช่มาพร้อมบทซีรีส์ที่สามารถเขย่าพลอตหลักที่ว่าด้วยทีม CIA ที่มีพ่อลูกไม่ถูกกันพยายามขวางแผนส่งระเบิดนิวเคลียร์ไปให้เหล่าผู้ก่อการร้ายแล้ว ยังมีซับพลอตว่าด้วยความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการโกหกมาเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการเอ็นเตอร์เทนคนดู ส่วนตัวขอยกย่องบทตอนที่ 6 ที่ทีม CIA ติดอยู่ในห้องนิรภัยแล้วในช่วงเวลาความเป็นความตาย ความในใจของตัวละครระเบิดออกมาจนส่งผลกับความสัมพันธ์ของพวกเขาให้เป็นความชาญฉลาดในการใช้ภารกิจในทางแอ็กชันมาขับเคลื่อนดรามาอีกทีได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

แต่ก็ใช่ว่าซีรีส์ ‘Fubar’ จะไม่มีจุดด่างพร้อยอะไรเลยนะครับ ตัวซีรีส์เองมีช่องโหว่ที่เปิดทิ้งไว้อย่างโจ๊งครึ่มทั้งการให้เอ็มมาเอาโทรศัพท์ส่วนตัวมาใช้ในภารกิจแม้ว่าจะทำให้เหตุการณ์ดูลุ้นระทึกมากขึ้นก็ตาม หรือการทำให้วิกฤติการณ์หลายอย่างจบลงอย่างง่ายดายเกินไปก็ทำให้ตัวซีรีส์ไปไม่ถึงในจุดที่มันจะกลายเป็นซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมได้ อีกจุดที่น่าจะขัดใจแฟนหนังของชวาร์ซเซเนกเกอร์อย่างยิ่งคือฉากแอ็กชันที่ซีรีส์เองก็ไม่พยายามปกปิดความชราของเขาเลยจนทำให้ซีนแอ็กชันที่ต้องมีการปะทะกันด้วยหมัดมวยดูขัดใจยังไงก็ไม่รู้ครับ