พอดูจบแล้วอยากบอกทีมงานทุกคนเลยครับว่า “เฮ่อออออ… แค่นี้แหละจ้า ที่อยากได้ ขอบคุณมากๆ เลย”
ยกให้ Godzilla vs. Kong เป็นภาคที่เวิร์กที่สุดในบรรดา 4 เรื่องของ MonsterVerse ครับ มันไม่ได้ชอบแค่ได้เห็นพี่ก็อดกับพี่คองมาไฝว้กันเท่านั้น แต่องค์ประกอบหลายๆ อย่างในเรื่องมันพอเหมาะครับ มีการลดจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งของหนังชุดนี้ใส่ลงไปอย่างพอดี ผลที่ได้เลยทำให้หนังสัตว์ยักษ์ตีกันเรื่องนี้ตอบโจทย์ความบันเทิงได้สำเร็จในระดับที่น่าพอใจ
เนื้อเรื่องคงไม่ต้องเล่าน่ะนะครับ หลักๆ คือพี่ก็อดกับพี่คองเขาไล่ฟัดกัน แต่จะฟัดกันไปทำไม ฟัดกันเพื่ออะไร และใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ลองหาคำตอบกันในหนังครับ เรื่องไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรมาก ตามเรื่องได้ไม่ยาก และภาคนี้ยังเป็นภาคที่สั้นที่สุดในบรรดา 4 เรื่องของจักรวาลนี้ครับ ยาวประมาณ 110 กว่านาทีเท่านั้น ในขณะที่ภาคก่อนๆ ยาว 2 ชั่วโมงครับ ยิ่งภาค King of the Monsters นี่ยาว 2 ชั่วโมง 10 กว่านาทีแน่ะ (แต่กลับเป็นภาคที่ผมรู้สึกว่าอ่อนสุดและชอบน้อยที่สุด)
ตัวหนังจัดว่ากระชับครับ เล่าแต่เนื้อๆ ผมชอบที่หนังไม่พยายามเล่าเรื่องของตัวละคร “มนุษย์” มากเกินไปแบบภาคก่อนๆ คือเล่าเท่าที่จำเป็น เล่าแบบพอให้รู้จักนิสัยใจคอและพอให้รู้เจตนาว่าคนไหนดีคนไหนร้าย คนนั้นคนนี้ต้องการอะไร ซึ่งอันนี้ผมว่าเป็นการอุดจุดอ่อนที่ดีครับ เพราะยอมรับเลยว่าใน Godzilla 2 ภาคก่อน (รวมถึง Godzilla ดั้งเดิมอีกหลายสิบภาค) ต่างก็เคยมีจุดอ่อนเดียวกันอันนี้มาแล้วครับ มีอยู่ไม่กี่ภาคครับที่สามารถทำให้เนื้อหาส่วนของมนุษย์น่าสนใจขึ้นมาได้ แต่ส่วนใหญ่จะออกแนวยืด อืด และน่าเบื่อเสียมาก ในขณะที่ภาคนี้หนังไม่ใช้เวลากับเรื่องมนุษย์มากจนเกินไปครับ เลยทำให้สัดส่วนความเด่นของเหล่าดาราไซส์ยักษ์ได้พื้นที่ในจอมากขึ้น (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือลดความอืดยืดลง เลยน่าเบื่อน้อยลง)
เหมือนทีมงานจะรู้น่ะครับว่าจุดไหนบ้างที่อ่อนในภาคก่อนๆ เขาก็จะพยายามอุด ส่วนจุดไหนที่ใช้แล้วเวิร์กก็เอามาเสริมใส่ลงไป จุดแข็งอย่างหนึ่งที่ผมชอบคือเนื้อเรื่องในส่วนของการผจญภัยครับ อันนี้ถือเป็นจุดเด่นประการสำคัญใน Kong: Skull Island (รวมถึงหนัง King Kong ของเก่าอีกหลายๆ เรื่อง) นั่นคือฉากการผจญภัย การเดินทางไปยังดินแดนลี้ลับ ดินแดนที่รอการค้นพบ ซึ่งหนังก็หยอดจุดเด่นนี้ใส่ลงมาได้แบบโอเคในระดับหนึ่งครับ ถือเป็นไฮไลท์ที่โชว์ทั้ง Special Effect และทำให้คนดูเพลิดเพลินไปกับการผจญภัย แม้จะไม่ถึงกับสนุกหรือว้าวสุดๆ แต่ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ
ส่วนฉากพี่ก็อดกับพี่คองตีกันนั้นก็ทำออกมาได้เร้าใจและตื่นตาดีครับ และหนังก็แก้จุดอ่อนอีกอย่างของภาคก่อนๆ ได้สำเร็จ นั่นคือภาคก่อนๆ สัตว์ประหลาดมักจะตีกันตอนกลางคืนครับ เลยทำให้บางครั้งก็เห็นท่วงท่าการฟัดของสัตว์ยักษ์ได้ไม่ชัดเจนและไม่เต็มอารมณ์เท่าที่ควร แต่มาภาคนี้ตีกันกลางวันเป็นส่วนใหญ่ครับ หรือต่อให้ตีตอนกลางคืนก็ไปตีกันกลางแสงไฟที่สีสดและเจิดจ้ามาก ดังนั้นฉากกับฟัดกันของพี่ก็อดกับพี่คองเลยออกมาสะใจ เห็นอะไรๆ จะๆ ตา และยังได้ความสดของแสงสีมาเสริมความสวยอีกด้วย
ก็พยายามมองในแง่บวกครับ ภาคก่อนๆ พี่ก็อดอาจจะตีกับตัวอื่นตอนประมาณ 2 ทุ่มในวันที่เขาปิดไฟรักษ์โลกกันพอดี มันเลยออกจะมืดๆ หน่อย แต่มาภาคนี้อาจจะตีกันดึกหน่อยตามตึกเลยเปิดไฟแบบจัดเต็ม ทุกตึกมีแสงไฟเจิดจ้าดุจผีเสื้อราตรี และแม้พวกพี่เขาจะตีกันจนตึกถล่มแผ่นดินทลายไปแค่ไหนก็ตาม แสงไฟก็ยังจ้าสดใสอยู่เสมอ (เดาว่าแต่ละตึกคงมีเครื่องปั่นไฟของตัวเอง หรือไม่การไฟฟ้าเขตนั้นก็วางผังไว้ดีมากๆ ขนาดสัตว์ประหลาดตีกันตึกพังเป็นแถบ ไฟก็ยังใช้ได้ไม่มีติดขััด)
ตัวละครมนุษย์ในเรื่องก็ทำหน้าที่ได้โอเคตามที่บทจะเปิดโอกาสครับ อย่าง Alexander Skarsgård กับ Rebecca Hall นี่ตามหลักแล้วถือเป็นตัวเอกนะ แต่ความเด่นถือว่าระดับกลางๆ เพราะพวกเขาประกอบกับพี่คองเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นพี่คองเลยดูจะแย่งซีนแย่งความเด่นไปได้มากกว่า ในขณะที่สาวน้อย Millie Bobby Brown ก็ดูเฟี้ยวขึ้นเยอะ ระหว่างดูก็คิดเหมือนกันครับว่าเธอนั้นจัดว่ามาไกลพอสมควร จากจุดเริ่มต้นที่เราได้รู้จักเธอใน Stranger Things แล้วก็ดูท่าว่าอนาคตเธอจะไปได้อีกไกลครับ (แต่กระนั้นสำหรับเรื่องนี้ ผมก็ยังคิดเหมือนตอนดูภาคก่อน นั่นคือหนังยังใช้เธอไม่คุ้ม เธอสามารถแสดงอะไรได้มากกว่านี้ – แต่ก็พอเข้าใจน่ะครับว่าภาคนี้เขาไม่ค่อยเน้นตัวละครมนุษย์ บทเธอมาประมาณนี้ก็โอเคแล้วล่ะ)
และที่รู้สึกโอเคอีกอย่างคือ ตามปกติแล้วหนังแนวนี้มักจะต้องมีตัวละครมนุษย์ที่ดูจะเห็นแก่ตัว ดูจะร้าย ดูจะสร้างความเดือดร้อน ซึ่งในภาคนี้ก็มีครับ แต่ดีที่หนังก็ไม่ให้พื้นที่ตัวละครเหล่านี้มากจนเกินไป ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกนะ เพราะความน่าเบื่อของผู้ร้ายนี่ก็เป็นจุดอ่อนอีกอย่างของภาค King of the Monsters เหมือนกัน
นี่ล่ะครับ Godzilla vs. Kong ถือเป็นการเจอกันที่น่าพอใจ หนังดูสนุก ดูเพลิน ได้ดู Effect แบบเต็มอื่มเต็มตา สีสันจัดจ้านพอเหมาะกำลังดี แต่มันก็อาจจะยังไม่สุดๆ ซะทีเดียวน่ะนะครับ จริงๆ ใจก็อยากให้ฉากใน Hollow Earth มีอะไรมากกว่านี้ แต่ก็พอเข้าใจว่าถ้าไปเทน้ำหนักให้ฉากใน Hollow Earth มากเกินไป (ซึ่งฉากในส่วนนี้จะมีแต่พี่คองเป็นหลัก) ก็จะทำให้พี่ก็อดดูเด่นลดลง
อืมม์… ว่าตามจริงอันนี้ก็รู้สึกเหมือนกันครับว่าพี่คองดูจะเด่นกว่าพี่ก็อด แต่ก็พยายามมองว่าพี่ก็อดแกมีหนังของตัวเองออกมา 2 ภาคแล้ว (เฉพาะในจักรวาลนี้น่ะนะครับ) ภาคนี้เลยให้พี่คองออกเยอะหน่อย แล้วอีกอย่างคือพี่คองเขามีคาแรคเตอร์ที่มีความเป็นมนุษย์ผสมอยู่ครับ เลยทำให้เขาเหมาะจะรับบทตัวเอกในส่วนของการผจญภัย เพราะจะว่าไปถ้าจะเปลี่ยนให้พี่ก็อตไปท่องใน Hollow Earth แทน มันก็คงเขียนบทยากเหมือนกัน เพราะพี่ก็อดแกไม่เอาใครอยู่แล้วครับ ครั้นจะให้จับมือกับพี่คองแล้วท่องเที่ยวด้วยกันมันก็คงดูกระไรอยู่พอตัว
ตอนรู้ว่า Adam Wingard จะมากำกับนั้น ใจก็เสียวไม่น้อยครับ เพราะผลงานก่อนหน้าของพี่เขานั้น มีทั้งที่เวิิร์ก (You’re Next, The Guest) และไม่เวิร์ก (Blair Witch, Death Note) เลยไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะออกหัวออกก้อย แต่ยังดีผลที่ได้คือหนังสนุกครับ มีความพอดีได้มาตรฐาน แม้หนังจะลงสูตรแต่ก็ถือว่าเป็นการลงสูตรที่น่าพอใจ จับเอาจุดดีมาใส่เรียกความบันเทิงได้อย่างพอเหมาะ
อีกหนึ่งสิ่งที่จัดว่าน่าพอใจคือดนตรีของ Tom Holkenborg หรือ Junkie XL ครับ ถือว่าทำดนตรีออกมาได้เร้าแบบพอเหมาะ หลายช่วงนี่เร้าแบบกำลังดี (โดยเฉพาะตอนไคลแม็กซ์) เร้าแบบไม่เกินหน้าเกินตา (ประมาณว่าเสียงดนตรีแม้จะเร้าแค่ไหน แต่ก็จะมีจังหวะผ่อนเพื่อเปิดโอกาสให้เราได้ยินเสียงการต่อสู้ของเหล่าสัตว์ยักษ์ – ไม่ได้เร่งเร้าจนกลบเสียงเหล่านั้นไป) ถือว่ากำลังดีครับ
++++ ถัดจากนี้ของสปอยล์หน่อยนะครับ จะสปอยล์ในจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบ แต่ใครที่ไม่อยากรู้เนื้อเรื่องก็ไม่ควรอ่านครับ +++
บทสรุปของหนังนั้น ก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ก่อนดูแล้วครับ ว่าสุดท้ายพี่ก็อดกับพี่คองเขาไม่ฆ่ากันหรอก มันต้องมีศัตรูตัวอื่นมาแทรกกลางให้พวกพี่เขาได้ร่วมมือกันฟัด แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ผมชอบฉากตอนจบที่พอเสร็จศึกแล้วพี่ก็อดกับพี่คองก็แยกย้ายกัน โดยพี่ก็อดก็หันหลังแล้วเดินลงทะเลไป ส่วนพี่คองก็ยืนมองด้วยสีหน้าท่าทางที่ผมว่าสื่ออารมณ์ได้ดีมากเลยนะ สีหน้าพี่คองประมาณว่า “โชคดีพวก ไว้เจอกานฮ์ฮ์ฮ์ฮ์ฮ์” (กานฮ์ฮ์ฮ์ฮ์ฮ์ นี่คือ กัน + เฮ่ออออออ ครับ ออกเสียงคำว่า “กัน”บวกด้วยการถอนหายใจ อะไรประมาณนั้น – นี่ผมพล่ามอะไรอยู่เนี่ย…) พี่คองก็คงคิดน่ะว่า ชีวิตที่ผ่านมาเวลาต้องที่เจอกับตัวประหลาดไซส์ใหญ่ๆ แล้วล่ะก็ ถ้าไม่ใช่ศัตรู ก็จะเป็นอาหาร ก็มีแต่เจ้านี่นี่แหละ เป็นรายแรกที่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ถือเป็นการเปิดโลกสำหรับพี่คองเหมือนกันนะครับ
ฉากที่ว่านี้ได้อารมณ์ดีครับ และถือว่ามีความหมายด้วย ผมเชื่อว่าแฟนหนังแนวนี้ส่วนใหญ่ก็คงรอฉากแบบนี้มานาน มาวันนี้ได้เห็นบนจอเสียที
ส่วนตัวร้ายประจำภาค จะว่าไปก็อาจยังไม่ร้ายกาจมากมายอะไรน่ะนะครับ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะในอนาคตถ้ามีการสร้างเรื่องนี้กันต่อก็จะได้เอาบอสที่ร้ายกว่านี้มาเป็นคู่ชก หนังจะได้สะใจขึ้น (ขืนปล่อยหมดภาคนี้ก็ไม่มีอะไรเล่นต่อพอดี) ตอนนี้ใจก็นึกไปล่วงหน้าแล้วครับว่าภาคหน้าพวกพี่เขาควรสู้กับอะไรดี จะสู้กับสัตว์ประหลาดหลายๆ ตัวดีไหม…
แต่มีพี่ใหญ่เบิ้มอยู่หนึ่งตนที่ผมอยากเห็นพี่ก็อดกับพี่คองร่วมมือกันสู้… คธูลูไงครับ ^_^
++++++++++++++++++++++++++++
ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การดูครับ และเชื่อว่าถ้ามีเวลาก็คงเอามาดูซ้ำเพื่อเสพความสะใจ ก็มารอกันต่อไปว่าจะมีภาคหน้าอีกไหม และเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)