ผมดู Good Boys พร้อมมีธงในใจครับ มีธงว่าหนังจะมีทิศทางแบบที่คิดไหม? บทสรุปของหนังจะเป็นแบบที่คาดหรือเปล่าหนอ? แล้วผลลัพธ์ก็คือเป็นไปตามนั้นครับ ส่งผลให้ผมชอบหนังเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว
หนังเล่าเรื่อง 3 เพื่อนซี้ แม็กซ์ (Jacob Tremblay), ลูคัส (Keith L. Williams) และ ธอร์ (Brady Noon) กับวันมหาป่วนครับ เรื่องมันเริ่มตรงที่พวกเขากำลังจะต้องไปงานเลี้ยงที่เพื่อนหัวโจกจัดขึ้น ซึ่งงานนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะมีเกมหมุนขวด และพวกเขาอาจจะต้องจูบสาวๆ แต่ปัญหาคือพวกเขาเคยจูบเขาซะที่ไหนกันเล่า
3 หน่อก็เลยต้องหาทางเรียนรู้เกี่ยวกับการจูบเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียฟอร์มหากต้องไปจูบใครเข้าจริงๆ… นี่คือเริ่มต้นเท่านั้นครับ ยังมีเรื่องบ้าๆ รอพวกเขาอยู่อีกเพียบ
หนังเป็นส่วนผสมระหว่างแนวห่ามฮาติดเรท บวกเข้ากับ Coming of Age ครับ ถ้าถามว่าสนุกไหมก็ตอบได้ว่าฮาดี เจ้าหนูน้อย 3 คนนี้พาตัวเอง (รวมทั้งคนดู) ไปเจอกับเรื่องฮาบ้าบอสารพัด ซึ่งถ้าใครไม่ชอบอะไรที่ติดเรทฮาห่ามๆ ล่ะก็คงจะไม่โอเคน่ะครับ แต่ถ้าใครชอบพวก American Pie หรือหนังตลกสไตล์ Judd Apatow ก็น่าจะเข้าทางอยู่
เรื่องความขำความฮานี่ผมถือว่าหนังเล่าออกมาได้เวิร์กครับ มันฮาและบ้าบอดีจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่เด็กๆ กลุ่มนี้ทำท่าเป็น “รู้ไปหมด” แต่พอเจอของจริงเข้าค่อยมาตระหนักว่า “นี่เราไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า” สถานการณ์ทำนองนี้ทำให้ฮาได้เรื่อยๆ (โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องเพศน่ะครับ ความไม่รู้ของ 3 คนนี้มันจี้ได้ใจจริงๆ ให้ตายเถอะ)
แล้วเรื่องฮาๆ นี่ก็มีไปยันตอนถ่ายทำครับ ประมาณว่าระหว่างถ่ายทำนั้นเหล่าเด็กๆ ก็จะต้องพูดคำห่ามๆ คำหยาบโลนออกมาตามบทใช่ไหมครับ แต่หลายครั้งเลยที่พวกเด็กๆ ไม่เข้าใจในคำที่เขาพูดออกไป เลยพยายามถามผู้กำกับหรือไม่ก็คนในกองถ่าย แต่ปรากฏว่าทุกคนจะยึดหลักเดียวกันคือไม่ตอบคำถามและข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น และบอกให้เด็กๆ ไปถามคุณแม่แทน จนทำให้มีอะไรขำๆ ตามมาบ่อยครั้ง
เอาล่ะครับ ผมว่าผมจะต้องสปอยล์ในไม่ช้านี่แล้ว เอาเป็นว่าใครไม่อยากทราบไม่ควรอ่านต่อนะครับ บอกแค่ว่าถ้าใครชอบหนังฮาห่ามล่ะก็ขอให้ลองลิ้มเลยครับ หนังทำออกมาตอบโจทย์ได้ดี ดูสนุกและยังแอบสร้างความประทับใจให้กับเราได้อีกด้วย
++++++++++++++++
******* สปอยล์ล่ะเด้อ*******
++++++++++++++++
หนังได้ Evan Goldberg กับ Seth Rogen มาร่วมอำนวยการสร้างครับ ซึ่งจากหน้าหนังแล้วก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหนังจะมาทางเดียวกับ Superbad ที่พวกเขาเคยทำหรือเปล่า ซึ่ง “ทาง” ที่ว่านั้นผมก็หมายถึง หนังจะว่าด้วยเพื่อนๆ มาร่วมผจญภัยกันแบบสุดเหวี่ยง แต่พอถึงตอนจบแล้วพวกเขาก็จะถึงทางแยกครับ ทางแยกที่ต่างคนต่างก็ต้องเดินไปตามทางของตัวเอง เพราะแต่ละคนก็มีจุดหมาย มีความฝัน มีความชอบที่ต่างกัน
“ทาง” ที่ว่านี้มันโดนสำหรับผมครับ อาจเพราะผมเคยผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้ว เลยทำให้เวลาหนังเรื่องไหนหยิบประเด็นนี้มาพูด มันจะโดนที่ใจแบบเต็มๆ อย่าง Stand By Me หรือ Superbad นี่ล่ะใช่เลยครับ
และเรื่องนี้ก็เหมือนกัน
ยอมรับนะครับว่าตอนยังวัยรุ่นน่ะ มันนึกภาพประเด็นนี้ไม่ออก แม้จะเคยคิดเกี่ยวกับมันบ้างแต่ก็ยังไม่รู้สึกอะไรมาก ส่วนหนึ่งอาจเพราะเราคิดว่า “มันคงอีกนานน่ะ กว่าเราและเพื่อนจะห่างเหินกันไป” เพราะสมัยที่เราแน่นแฟ้นกับเพื่อนนั้นมันดูจะไม่มีวี่แววอะไรที่จะทำให้เราห่างกันไปได้เลยน่ะครับ ตอนนั้นเรียนด้วยกัน กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ปรับทุกข์ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน คลุกโคลนโดนด่ามาด้วยกัน ฯลฯ เราอาจจะคิดด้วยซ้ำว่าต่อให้ไปเรียนกันคนละที่ หรือทำงานกันคนละแห่งมันก็คงยังสนิทกันได้อยู่ดีนั่นแหละ
แต่เมื่อชีวิตจริงมาถึงวาระนั้น เมื่อทางแยกปรากฏขึ้นตรงหน้า เมื่อนั้นล่ะครับเราถึงจะตระหนักว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนจริงๆ
ฉากที่พวกเขาเจอทางแยกในงานเลี้ยงหมุนขวดนั่นเป็นฉากที่จี๊ดใจครับ อีกฉากคือตอนจบที่พวกเขามาเจอกันอีกครั้งหลังแยกย้ายกันไปตามโมเมนตัมของชีวิต ฉากนี้ก็อีกหนึ่งจี๊ดครับ มันสะเทือนที่ใจจริงๆ นะ และผมเชื่อว่าใครมีประสบการณ์ทำนองนี้ก็น่าจะน้ำตาซึมเอาง่ายๆ เหมือนกัน
คิดดูครับ จากกลุ่มเพื่อนที่ไปไหนไปกัน สนิทกันมากมาย คุยกันได้ข้ามวันข้ามคืน แต่พอใครเริ่มมีแฟน ก็จะเริ่มห่าง (เพราะต้องให้เวลากับแฟนมากขึ้น) หรือใครมีสิ่งที่สนใจ เช่น มีงานที่ชอบ ชมรมที่ใช่ วิชาที่โปรด ก็จะปลีกตัวออกจากกลุ่มไป หรือบางทีเราอาจไปเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ที่จูนกันติดมากกว่า ทีนี้ล่ะครับ ต่างคนก็จะต่างห่างกันไปตามลำดับ
ผมเชื่อว่านาทีนี้ หลายท่านที่กำลังอ่านสิ่งที่ผมเขียน คงเข้าใจว่าอารมณ์เหล่านี้ มีรูปโฉมและรสชาติเช่นไร
รู้ไหมครับ เวลาย้อนคิดถึงวันเก่าๆ ของเราและเพื่อน มันอาจเจอด้วยความโหยหานะ…
… แต่สำหรับผมแล้ว ผมชอบคิดว่า “การที่มีวันดีๆ ให้รำลึก มีเพื่อนดีๆ ให้นึกถึง เป็นความโชคดีแบบโคตรๆ อย่างหนึ่ง”
ผมชอบฉากที่ 2 สาวคุยกับ 3 หน่อในรถนะครับ มันสะท้อนให้เห็นถึงความต่างระหว่างวัยและประสบการณ์ชีวิตได้ดี ประมาณว่า 2 สาวผ่านอะไรมาระดับหนึ่งก็จะมองโลกแบบหนึ่ง (มองว่าเพื่อนไม่ได้เป็นสิ่งถาวร – กลุ่มเพืื่อนย่อมเปลี่ยนได้ตามวัย ตามความชอบ และตามความใกล้ชิด) ในขณะที่เด็กๆ 3 หน่อก็จะมองชีวิตจากประสบการณ์ที่เท่าผ่านมา (มองว่าเพื่อนที่คบกันนี้ก็จะคบกันต่อไปอีกนานแสนนาน ไม่มีอะไรมาแยกพวกเขาจากกันได้ง่ายๆ) ฉากนี้ดูแล้วก็ยิ้มครับ และขณะเดียวกันก็ชี้ชวนให้เรามองชีวิตย้อนไปเมื่อวันวานด้วยเหมือนกัน – ตอนเรายังเด็กเท่า 3 หน่อนั้นเราก็คิดประมาณนั้นเหมือนกันนั่นแหละหนอ
สรุปล่ะนะครับ ว่าหนังดูสนุกดี ฮา ห่าม แล้วตามด้วยความประทับใจ ถือเป็นงานกำกับหนังจอใหญ่เรื่องแรกที่น่าพอใจของ Gene Stupnitsky และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Lyle Workman คอมโพเซอร์เจ้าเก่าที่เวียนวนทำดนตรีให้หนังของพวก Seth Rogen หรือ Judd Apatow มานักต่อนัก แนวทางของดนตรีเขานั้นจะมาในแนวเสริมอารมณ์ให้กับฉากนั้นๆ ครับ ดนตรีจะไม่โฉ่งฉ่างขโมยซีน บางทีก็มาเป็นเสียงกีตาร์คลอเบาๆ ที่มันช่างพอเหมาะกับอารมณ์ของฉากนั้นอย่างยิ่ง อย่างฉากที่ 3 หนุ่มน้อยกอดกันตอนท้ายน่ะครับ ดนตรีไม่เยอะ มาเบาๆ เคล้าเนิ่บๆ แต่เข้าถึงอารมณ์แบบเต็มๆ – เสียงกีตาร์ที่ว่าเบา แต่สามารถสะบัดตัดเอาความวุ่นวายโดยรอบในฉากนั้นออกไปได้หมด และสามารถโฟกัสความสนใจเรา ให้พุ่งมาที่ 3 หน่อเพียงอย่างเดียว…
ถึงจุดนี้ ผมอยากจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดหนึ่งในหนัง คำเป็นคำสั้นๆ บอกความรู้สึกผมหลังดูหนังเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด…
“คิดถึงพวกนายว่ะ”
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)