ผมชอบ Greenland มากกว่าที่คิดครับ ตอนแรกยอมรับว่าไม่คาดหวังอะไรเพราะมองว่าเป็นหนังดาวหางล้างโลกอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่น่าจะมีอะไรแปลกใหม่ไปจากสารพัดหนังภัยพิบัติที่ได้ดูเฉลี่ยปีละเรื่องมาหลายสิบปีแล้ว
โครงเรื่องชวนให้นึกถึง 2012 ครับ ว่าด้วยครอบครัวหนึ่งที่ต้องแข่งกับเวลาหาทางหนีจากภัยพิบัติไปยังสถานที่ปลอดภัยที่มีคนเตรียมการเป็นบังเกอร์เอาไว้ แต่จุดที่ทำให้ผมชอบมากกว่า 2012 ก็คือ ในขณะที่ 2012 เน้นหนักที่ CG โชว์ฉากหายนะ แต่กับ Greenland นี้ผมว่าคนสร้างดูจะรู้ตัวเองดีครับว่าสู้ด้วย CG และความอลังการไม่ไหว (ทุนสร้างเรื่องนี้อยู่ที่ $56 ล้านครับ ส่วนเรื่อง 2012 ลงไป $200 ล้านเห็นจะได้) ทำให้หนังเลือกจะเทน้ำหนักไปที่เนื้อเรื่อง ความลุ้นแบบติดดิน และการสะท้อนภาพสังคมมนุษย์ที่โคตรจะวุ่นวายยามเกิดภัยพิบัติระดับโลกเป็นหลัก ซึ่งอะไรเหล่านี้แหละครับที่จัดว่าเวิร์กพอตัวทีเดียว
โอเค สารภาพครับว่าผมแอบรำคาญครึ่งแรกเหมือนกันนะ อุปสรรคหลายๆ อย่างที่พวกพระเอกเจอในตอนแรกนั้นบางทีก็เนื่องมาจากเหล่าตัวเอกเองนั่นแหละ เช่น เอาแต่รอช้าไม่ตั้งท่าหนีทั้งที่ได้รับข่าวก่อนใครแล้วแท้ๆ หรือการไม่พยายามอยู่ให้นิ่งในบางวาระ หรือการที่ไม่พยายามปิดบังระวังบางเรื่องจนกลายเป็นการเปิดช่องให้ตัวเองต้องเจอกับปัญหา อะไรเหล่านี้น่ะครับที่ผมแอบรำคาญอยู่นิดนึง
แต่โชคดีครับที่อุปสรรคประเภทนั้นมีเยอะแค่ครึ่งแรก ไม่ค่อยมีในครึ่งหลัง และผมเองก็มานั่งคิดเอาตอนดูหนังจบว่า ครึ่งแรกนั้นคงเป็นการพยายามนำเสนอให้เราเห็นภาพความวุ่นวายโกลาหลแบบชัดๆ เพราะจะว่าไปแล้วการที่พวกตัวเอกตั้งตัวไม่ทันทำอะไรไม่ถูกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะพวกเขาก็ไม่คิดมาก่อนว่ามันจะเกิดเหตุดาวหางชนโลกจริงๆ (ยิ่งมีการปิดข่าวด้วยก็ยิ่งไม่รู้กันไปใหญ่) เหมือนจู่ๆ ถ้ามีคนบอกกับเราว่าดาวหางจะมาแล้วในอีกไม่กี่ชั่วโมง เราเองก็คงไม่เชื่อในทันทีเหมือนกัน
เลยทำให้จากความรำคาญในตอนแรก เปลี่ยนเป็นความเข้าใจครับว่าในสภาวะแบบนั้นเป็นเราเองก็คงทำตัวไม่ถูก ทำผิดทำพลาดไม่น้อยไปกว่ากัน แล้วไหนสังคมรอบข้างยังมาโกลาหล คนไล่ฆ่า ไล่ทำร้าย ไล่ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด การจะระมัดระวังตัวก็คงจะยิ่งยากขึ้นไปอีก
ครับ ครึ่งแรกก็ฉายภาพความวุ่นวายได้ค่อนข้างถึงอารมณ์ (ไม่งั้นผมคงไม่รำคาญน่ะจริงไหมครับ 555) ส่วนครึ่งหลังก็เหมือนว่าพวกตัวเอกเริ่มตั้งหลักได้ แล้วก็ตั้งหน้าหาทางรอดต่อไป ช่วงที่ว่านี่ก็จะมีช่วงผ่อนสลับกับช่วงลุ้นครับ ซึ่งก็ทำออกมาได้น่าติดตามดี ช่วงผ่อนนี่ก็พอเหมาะโดยเฉพาะช่วงที่พวกพระเอกเจอกับเดล (Scott Glenn) พ่อของนางเอก ช่วงนี้นี่ Glenn แสดงได้ดีมากๆ ครับ แม้สีหน้าของเขาจะนิ่งๆ ก็ตาม แต่เขาสามารถสื่ออารมณ์แต่ละช่วงออกมาได้อย่างน่าจดจำ เป็นคุณตาที่น่ารักมากๆ อีกต่างหาก ทำให้ฉากช่วงนี้นี่เป็นช่วงที่ผมชอบมากช่วงหนึ่งในหนังเรื่องนี้เลยล่ะครับ (มันทำให้รู้สึกปลง และรู้สึกเข้าใจในความคิดของเดลน่ะครับ-ถ้าผมเป็นเดลก็คงเลือกแบบนั้นเหมือนกัน)
โดยรวมแล้วผมเลยรู้สึกโอเคกับหนังมากอยู่ครับ พอมามองย้อนก็รู้สึกว่าแต่ละฉากมันมีความหมาย มันสะท้อนอะไรบางอย่าง ในมิติของความเป็นมนุษย์ได้อย่างดีในระดับหนึ่ง
ข้อคิดสำคัญจากหนังเรื่องนี้ ก็คือตอนเกิดหายนะนั้น คนจะตายหรือคนจะรอดก็อยู่ที่ “คนเรา” นั่นแหละครับ หากต่างคนต่างหนีตาย จ้องแต่จะเอาตัวรอด คิดแต่จะเห็นแก่ตัว หรือทำตามสันดานดิบกันแบบไม่เว้นวรรค โอกาสที่จะเกิดหายนะซ้อนหายนะก็จะยิ่งมากขึ้น – ว่าง่ายๆ คือโอกาสตายกันหมดนั้น มีสูงมาก
แล้วหนังก็เสนอภาพอีกมุมหนึ่งครับ ท่ามกลางความวุ่นวาย ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามทำตามหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะทหารที่คอยรักษาความสงบ, คุณหมอที่คอยรักษาดูแลคนไข้, เจ้าหน้าที่ที่คอยจัดระเบียบดูแลประชาชน หรือกระทั่งคนเดินดินทั่วไปที่เลือกจะทำสิ่งที่ถูกมากกว่าสิ่งที่ผิด คนเหล่านี้นี่เองที่เป็นดั่งเสาหลักที่คอยพยุงสังคมไว้ไม่ให้ล้มครืน
ภาพที่เห็นในหนังนั้น สามารถเอามาซ้อนทับเทียบเคียงกับโลกความจริงได้พอดีพอดิบครับ
คงเพราะแบบนี้แหละครับ ผมเลยชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมันไม่ได้มีแค่หนีตายจากหายนะเพียงอย่างเดียว เรียกว่าดูสนุก ดูลุ้น ดูแล้วชวนให้คิด แม้จะไม่ใช่ปรัชญาอะไรที่ซับซ้อน แต่ผมว่ามันเป็นแง่คิดที่สำคัญสำหรับชีวิตนะครับ เรื่องการมีสติเนี่ย ถือเป็นกุญแจแก้ปัญหาและป้องกันหายนะให้กับชีวิตได้อย่างดีเลยล่ะ
พอลองคิดๆ แล้ว ส่วนที่ทำให้ผมชอบหนังนี่ก็คงต้องยกความดีให้กับ Chris Sparling คนเขียนบทครับ ว่าตรงๆ คือผมชอบโครงสร้างแล้วก็แง่คิดของหนังเสียเป็นส่วนมาก ในขณะที่ตัวหนังซึ่งกำกับโดย Ric Roman Waugh (Angel Has Fallen) นั้น ก็ถือว่าเขาคุมงานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ลึกๆ แล้วผมว่าหนังมีดีมาจากบทครับ ในขณะที่ตัวหนังเองก็ถือว่ายังดีได้อีกในหลายๆ จุด
อีกอย่างที่รู้สึกชอบคือดนตรีของ David Buckley ที่ช่วยขับเน้นอารมณ์ได้ดี ในหลายวาระมันให้อารมณ์ความโกลาหลและความสิ้นหวังของวันสิ้นโลกได้ดี กดดันเราให้รู้สึกตึงขึ้นมาได้ และในบางช่วงก็เร้าให้เรารู้สึกถึงความพยายามที่จะเอาชีวิตรอดของมนุษย์เดินดิน – รวมถึงวาระแห่งการยอมรับถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดด้วย
โดยรวมแล้วถือเป็นหนังวันสิ้นโลกที่ทำได้น่าพอใจครับ มีความเว่อร์วังตามสไตล์หนังแนวนี้ แต่ก็ไม่ได้เว่อร์เกินไป ยังพอมีส่วนที่ติดดินผสมอยู่
สองดาวบวกๆ ครับ
(6.5/10)