Guillermo del Toro’s Cabinet of Curiosities Season 1 (2022) กีเยร์โม เดล โตโร: ตู้ลับสุดหลอน ปี 1

Untitled08662

Guillermo del Toro’s Cabinet of Curiosities ถือว่าเข้าทางผมครับ ชอบนักล่ะเรื่องสั้นแนวเขย่าขวัญแบบนี้ เรียกว่ารอดูตั้งแต่ประกาศสร้างกันเลยล่ะ และบัดนี้ก็ได้ดูจบครบเรียบร้อยทั้ง 8 ตอน อันได้แก่

ตอนที่ 1 Lot 36 (กำกับโดย Guillermo Navarro แห่ง Cocaine Godmother)
ชายคนหนึ่งประมูลล็อกเกอร์ที่เจ้าของเสียชีวิตไปแล้วเพื่อนำเอาของมีค่าภายในไปขายทำเงิน แต่เขาหารู้ไม่ว่ามันกำลังจะพาเขาไปเจอกับอะไร

ตอนที่ 2 Graveyard Rats (กำกับโดย Vincenzo Natali แห่ง Cube)
นักปล้นสุสานคนหนึ่งหมายตาจะปลดเอาของมีค่าจากศพชายผู้มั่งมี แต่เขากลับต้องเผชิญกับกองทัพหนูนรกที่อาละวาดอยู่ใต้สุสานนั้น

ตอนที่ 3 The Autopsy (กำกับโดย David Prior แห่ง The Empty Man)
นายอำเภอได้ขอแรงให้เพื่อนเก่าที่เป็นนักชันสูตรศพมาช่วยชันสูตรศพคนกลุ่มหนึ่งที่มาพร้อมปริศนาชวนขนลุก

ตอนที่ 4 The Outside (กำกับโดย Ana Lily Amirpour แห่ง A Girl Walks Home Alone at Night)
หญิงคนหนึ่งต้องการจะเปลี่ยนลุคตัวเองให้โดดเด้ง เลยเอาผลิตภัณฑ์ประทินโฉมมาลองใช้ แล้วมันก็เปลี่ยนชีวิตเธอจริงๆ

ตอนที่ 5 Pickman’s Model (กำกับโดย Keith Thomas แห่ง Firestarter)
นักเรียนศิลปะนายหนึ่งที่ชีวิตมีอันต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังจากได้พบกับเพื่อนใหม่ที่เป็นนักวาดภาพผู้ไม่เหมือนใคร

Untitled08663

ตอนที่ 6 Dreams in the Witch House (กำกับโดย Catherine Hardwicke แห่ง Twilight)
ชายคนหนึ่งเสียพี่สาวไปตั้งแต่สมัยเด็ก เขาเลยค้นคว้าเรื่องเหนือธรรมชาติเพื่อหวังว่าสักวันจะสามารถช่วยพี่สาวกลับมา

ตอนที่ 7 The Viewing (กำกับโดย Panos Cosmatos แห่ง Mandy)
มหาเศรษฐีชวนคนกลุ่มหนึ่งมาเพื่อสนทนาปาร์ตี้ และหมายมั่นจะให้พวกเขาได้เจอกับของสิ้นหนึ่งที่มาพร้อมความลับอันน่าสะพรึง

และตอนที่ 8 The Murmuring (กำกับโดย Jennifer Kent แห่ง The Babadook)
คู่รักนักปักษีวิทยาเดินทางไปยังกลางป่าเขาเพื่อสังเกตพฤติกรรมของเหล่านก และที่นั่นเองที่ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับเรื่องราวหลอนๆ ที่ย้อนให้พวกเขานึกถึงเรื่องเศร้าเมื่อวันวานของตนเอง

ผมชอบ 3 ตอนแรกครับ ถือว่าเดินเรื่องพอเหมาะ ชวนติดตามกำลังดี 2 ตอนแรกถือว่าทำได้โอเคตามมาตรฐาน ส่วนทีเด็ดนี่ต้องยกให้ตอนที่ 3 ที่ถือว่าดีที่สุดในบรรดา 8 ตอนนี้ มีความน่ากลัว ชวนสะพรึง แต่ขณะเดียวกันบทก็ถือว่าฉลาดใช้ได้ อีกทั้งการแสดงเยี่ยมๆ ของ F. Murray Abraham ยิ่งทำให้ตอนนี้น่าจดจำเข้าไปใหญ่

ส่วนอีก 5 ตอนที่เหลือผมรู้สึกกลางๆ ครับ อย่างตอนที่ 4 นี่เฉยๆ พอตอนที่ 5 นี่ผมสนใจเป็นพิเศษเพราะดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ H.P. Lovecraft และยังได้ดาราแนวๆ อย่าง Crispin Glover มาแสดงอีก ส่วนผลที่ได้ก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ตอนจบชวนขนลุกดี แต่การเดินเรื่องเล่าเรื่องถือว่ายังดีได้อีก

พอมาถึงตอนที่ 6 นี่ก็กลายเป็นเฉยเหมือนกัน รู้สึกมันเรื่อยเจื้อยเฉื่อยเกินไป (ทั้งๆ ที่เป็นอีกเรื่องที่ดัดแปลงจากงานของ Lovecraft) ส่วนตอนที่ 7 นี่ความรู้สึกผสมๆ กันครับ คือชอบในสไตล์ ชอบการถ่ายภาพ ชอบบรรยากาศ ซึ่งตอนนี้กำกับโดย Panos Cosmatos ซึ่งตอนที่ว่านี่ก็เล่นกับสีสันและบรรยากาศบิดเบี้ยวได้ไม่เลวครับ ตอนไคลแม็กซ์ก็ถือว่าน่าจดจำ สยองคอสมิคแบบน่าปรบมือ เพียงแต่การเดินเรื่องก่อนหน้านั้นอาจจะเนิ่บไปหน่อยเท่านั้นเอง

ปิดท้ายตอนที่ 8 ถือเป็นตอนที่มีความหมาย มีสาระชวนคิด และมีความหลอนพอประมาณ แต่มาเสียนิดหน่อยตรงความยาวที่มากไป ถ้ากระชับกว่านี้น่าจะดี

จริงๆ เสน่ห์สำคัญของหนังสยองแนวเรื่องสั้นนั้นคือความกระชับครับ ความยาวที่พอเหมาะ เล่าเรื่องแบบพอดีๆ เวลาที่ถือว่ากำลังดีนี่คือประมาณ 30 – 40 นาทีแล้วแต่กันไป อย่าง 2 ตอนแรกที่ผมว่ามันดูเพลินใช้ได้ก็อาจเพราะความยาวมันไม่มากเกิน มันเลยออกมาพอดีคำ ตอนที่ 3 จริงๆ ก็ถือว่ายาวอยู่ แต่ดีที่บทแข็ง เรื่องแกร่งเลยทำให้มันชวนติดตามไปจนจบ

Untitled08664

แต่ตอนที่ 4 – 8 นี่ แต่ละตอนมาพร้อมความยาวร่วมๆ ชั่วโมงครับ มันเลยมีช่วงอืดช้า บางช่วงตัดออกก็ได้ หนังจะได้เดินเรื่องตรงเป้าเขย่าจิตคนดูแบบโดนๆ แต่พอมันยาวเต็มชั่วโมงแบบนี้ก็เลยอดไม่ได้ครับที่จะแอบเบื่อนิดๆ บางตอนนี่หัวผงกโน้มจะหลับหลายรอบมาก – โดยเฉพาะตอนที่ 5 นี่ต้องเดินไปเอาน้ำลูบหน้าเลยครับ (ทั้งๆ ที่ตอนนี้ถือว่าผีโผล่เยอะสุดนะ)

อย่างที่บอกครับว่าผมชอบดูรวมเรื่องสั้นเขย่าขวัญแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยในระยะหลังๆ คือ เสน่ห์ความกระชับของมันนั้นหายไป อย่าง The Twilight Zone หรือ Amazing Stories เวอร์ชั่นล่าสุดนี่แต่ละตอนพยายามจะทำให้มันยาว แล้วผลก็คือมันยืด มันมีช่วงอืด ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ส่วนใหญ่จะยาวไม่เกิน 30 นาที แล้วมีอะไรก็ว่ากันแบบเนื้อๆ ไปเลย ใส่ความช็อค ใส่ความฉงน ใส่ความสะพรึงลงไปเต็มๆ ดูแล้วมันได้อารมณ์เหมือนโดนจู่โจมน่ะครับ เดี๋ยวก็ฮ่า เดี๋ยวก็แฮ่ เดี๋ยวก็จบ

แม้บางตอนจะไม่ได้ดีเด่อะไรมาก แต่พอมันไม่ยาวเราก็จะพอรับมันได้ – แล้วระหว่างเฉยแต่สั้น กับ เฉยแต่ยาวนี่ ผมว่าเฉยแต่สั้นน่าจะโอกว่าน่ะครับ

อีกอย่างคือรู้สึกว่าบางตอนมันยังสุดได้กว่านี้ครับ โดยเฉพาะตอนที่เอาเรื่องของ Lovecraft มาเล่นที่จินตนาการมันยังจัดเต็มได้มากกว่านี้ (ประเด็นนี้ผมมาพิมพ์เพิ่มตอนดูโปสเตอร์อีกรอบครับ พอเห็น “หนวดปลาหมึก” แล้วมันอดไม่ได้ ยังเห็นหนวดปลาหมึกไม่สาแก่ใจเลย 555) – โดยส่วนตัวแล้วตอนที่ผมว่าสุดใช้ได้คือตอนที่ 3 ที่เล่าแบบเต็มที่ ไคลแม็กซ์ก็สุดกันไปลุ้นกันไป อีกตอนคือตอนที่ 7 ที่ตอนไคลแม็กซ์ถืือว่าสุดจัดเต็ม สยองคอสมิคกันแบบเต็มคราบไปเลย

อดคิดไม่ได้ครับว่าอยากให้แต่ละตอนมันมีความสุดมากขึ้นสักหน่อย ผมว่ามันเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของการทำหนัง-ซีรี่ส์ลงสตรีมมิ่งนะ คือมันสามารถสุดได้มากกว่าสมัยก่อนตอนทำลงทีวีที่มันจะมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะจำกัดเรื่องเวลาหรือจำกัดเรื่องภาพที่น่ากลัวเกินไม่ได้อะไรเทือกนี้ แต่กลายเป็นว่าหลายๆ ตอนมันใช้ความสุดแค่ในเรื่องของเวลา คือทำยาวแค่ไหนก็ได้ตามต้องการ แต่ในแง่จินตนาการมันยังไม่สุดถึงจุดนั้นน่ะครับ

ถ้าจะมีอะไรที่ชอบในซีรี่ส์นี้ คงขอยกให้ตอนเปิดเรื่องของแต่ละตอนครับ ชอบตั้งแต่การที่ Guillermo del Toro ออกมาเกริ่นเรื่องราว (มาสไตล์เดียวกับที่ Alfred Hitchcock เคยทำตอนสร้างซีรี่ส์เรื่องสั้นของตัวเอง) ต่อด้วยไตเติ้ลสวยๆ ให้อารมณ์แอนทีค ดนตรีกำลังเหมาะ เป็นการพาเราเข้าสู่เรื่องราวได้ดีทีเดียว

โดยรวมแล้วก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ 3 ตอนแรกถือว่าน่าพอใจ โดยเฉพาะตอนที่ 3 นี่น่าพอใจมากๆ ส่วนตอนที่ 4 – 8 ก็ถือว่าเรื่อยๆ บางตอนก็เหมือนเราได้ฝึกความอดทน (555) แต่ผมคิดจริงๆ ครับว่าถ้ามันกระชับขึ้น เล่าตรงจุดขึ้น เอาเสน่ห์ของความสั้นมาใช้มากขึ้น มันน่าจะลงตัวกว่านี้ – แต่ก็อยากให้ทำออกมาอีกครับ พร้อมดูอยู่แล้ว

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)