HIGHER POWER – มนุษย์พลังฟ้าผ่า

หนังจากการกำกับครั้งแรกของมือวิช่วลเอฟเฟกต์ระดับฮอลลีวู้ดนาม แมทธิว ชาร์ลส ซานโตโร่ ที่เคยทำเอฟเฟกต์พิเศษให้หนังอย่าง X-Men: The Last Stand (2006), 300 (2006), The Incredible Hulk (2008) และเรื่องนี้ซานโตโร่ก็ทุ่มสุดตัว ทั้งกำกับ ร่วมเขียนบท และร่วมทำงานเอฟเฟกต์ด้วย

คือเรียกว่าถ้าไม่ดีสมใจอยาก ก็แย่แบบโทษใครไม่ลงไปเลย

พูดกันตามตรงคือ หน้าหนังก็ทำได้ภาพเกรดบีมาก ทั้งดาราที่ไม่ได้คุ้นหน้านักแต่ก็เคยผ่านงานหนังในบทตัวรองมานับไม่ถ้วน ทั้งเทคนิคพิเศษที่ดูเว่อวังจัดเต็มแต่ก็ไม่ได้เนี้ยบมากขนาดจะบอกว่าเป็นหนังทุนสูงบล็อกบัสเตอร์ คือจัดเต็มขนาดว่าน่าจะเอาทุกคำสั่งในโปรแกรมทำเอฟเฟกต์อย่าง อาฟเตอร์เอฟเฟกต์มาใช้แล้วล่ะ แต่กระนั้นก็ยังได้ความสมจริงในระดับหนังยุค 90 คือสวยแบบโบราณ ๆ หน่อย ด้านเนื้อหานี่ต้องชมนะ คือทะเยอทะยานสุดแบบไม่สนใจทุนสร้างเลย เอาจริงถ้าดูจากเรื่องที่เขาอยากเล่านะมันต้องใช้โปรดักชั่นอีกระดับหนึ่งน่ะ มันต้องสไตล์พวก Contact อะไรพวกนั้นมากกว่าล่ะ

อันนี้ลองย้อนดูประวัติที่ผ่านมาผู้กำกับที่โตมาจากสายเอฟเฟกต์เพียว ๆ นี่ก็มีผลงานเยี่ยม ๆ หลายคนนะ อย่าง กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส ก็ทำหนังเรื่องแรก Monsters (2010) ที่กลายเป็นไซไฟอินดี้ขวัญใจผู้ชม, นีล บลอมแคมป์ ก็ทำ District 9 (2009) ได้สุดยอด ส่วนคนล่าสุด ทิม มิลเลอร์ ก็สร้างเรื่องแรกคือ Deadpool (2016) ไว้อย่างน่าประทับใจ แต่ก็นะหนังที่เอาทะเยอทะยานอย่างเดียวแต่ไม่สนุกเอาซะเลยจากผู้กำกับที่มาจากสายเอฟเฟกต์นี่ก็มากเสียจนไม่ต้องเอ่ยนามก็ได้ และสำหรับซานโตโร่ผมให้ไปทางหลังสัก 70%-80% นะ แต่ถ้าเทียบกับงานอย่าง Skyline ที่ผู้กำกับบ้าเอฟเฟกต์เหมือนกัน หนังเรื่องนี้ยังได้เนื้อได้หนังมากกว่าจมเลยนะ

หนังเข้าฉายที่อเมริกา เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา เปิดตัวด้วยโรงฉายจำนวนทั้งสิ้นทั้งประเทศ 3 โรง ทำเงินไปได้จนตอนนี้เพียง 528 เหรียญสหรัฐ (16,955 บาท) แถมผู้ชมและนักวิจารณ์ก็ไม่ค่อยมีใครอยากรีวิวถึงด้วยซ้ำน่ะ

ส่วนตัวผมมองว่าหนังไม่ถึงขั้นเลวร้ายทำลายชาติ มันเป็นหนังที่มีทั้งความพยายาม ความตั้งใจ มีโครงเรื่องที่ดีด้วย แต่มันเล่าได้โคตรจะไม่สนุกเลย คือเรื่องย่อด้านบนนี่ผมพยายามเล่าใหม่ให้มันน่าสนุกขึ้นนิดหนึ่งแล้วนะ เพราะเอาจริง ๆ หนังเปิดตัวด้วยเสียงปริศนาคุยกันแบบคำศัพท์ยาก ๆ งง ๆ มาตรึม ต่อมาก็เปิดตัวโจที่มาแบบดราม่ารัว ๆ ตามติดชีวิตครอบครัวนี้ซ้ำ ๆ ขยี้ปมสัมพันธ์แบบไม่แคร์ว่าคนอยากรู้มั้ยอยู่กว่า 30 นาที กว่าจะเข้าส่วนที่น่าสนใจอย่างการถูกจับไปบังคับให้ทำภารกิจ แบบพวก 13 เกมสยอง โดยไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของเสียงปริศนา และแม้ถึงจะเข้าเนื้อหาส่วนแอ็กชั่นนี้แล้ว หนังก็ยังไปวนเวียนกับภาพดราม่าที่รียูสย้ำ ๆ เอาจากช่วงแรก จนเราหาวแล้วหาวอีก