Jiu Jitsu (2020) โคตรคนชนเอเลี่ยน

Untitled06839

ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ หัวผมก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า “อันว่าหนังแอ็กชันเนี่ย เรื่องไหนมันส์หรือไม่มันส์ มันวัดกันที่ตรงไหน?”

แล้วคำตอบก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาครับ ว่าอย่างแรกก็คงต้องมีเนื้อเรื่องที่มีทิศทาง ส่วนว่าจะแปลกใหม่หรือไม่นั้นก็ไม่เป็นไร จะเอาสูตรธรรมะชนะอธรรมมาใช้แบบพิมพ์นิยมก็ได้ไม่ว่ากัน ขอเพียงมีการเล่าเรื่องที่ลื่นไหล ดูไปเพลินไป มีปมสักหน่อยให้ชวนติดตาม อาจจะมีอารมณ์ขันสักนิดพอเพิ่มรสชาติ และที่ขาดไม่ได้คือคิวบู๊มันส์ๆ แอ็กชันกระตุ้นอะดรีนาลีน อะไรประมาณนี้

กับเรื่องนี้เนื้อเรื่องก็ตามสูตรครับ เล่าได้ง่ายๆ เลยว่าทุกๆ 6 ปีจะมีการประลองระหว่างมนุษย์โลกกับบุรุษจากต่างดาวครับ และเป็นการประลองชี้ชะตาโลก หากฝ่ายมนุษย์แพ้ก็จะโดนพวกต่างดาวยึดครองทันที… ถึงจุดนี้ผมนึกถึง Mortal Kombat ขึ้นมาในบัดดล และเจ้าบุรุษต่างดาวนี่ก็ล่องหนได้ด้วยครับ นี่ก็นึกถึง Predator อีกเหมือนกัน

โอเคครับ หนังมีเนื้อเรื่องตามสูตร แต่ปัญหาคือการเดินเรื่องมันไม่น่าติดตามเท่าไร เดินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ ผสมมึนๆ ตัวเอกของเราอย่าง เจค (Alain Moussi) เปิดเรื่องมาก็จำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่เป็นปัญหาครับ เพียงแต่ว่าการเล่าเรื่องก็มึนตามไปด้วย เหมือนคนเล่าจะมึนพอๆ กับพระเอก เล่าแบบไม่รู้จะเล่าอะไรต่อ พอซีนไหนเริ่มตันๆ ก็จะพยายามใส่แอ็กชันลงไปเหมือนเตือนให้คนดูตระหนักว่ากำลังดูหนังแอ็กชันอยู่นะตะเอง ซึ่งฉากแอ็กชันที่ว่านี่ก็ไม่ใคร่จะมันส์สักเท่าไรอีกเหมือนกัน

ว่ากันตรงๆ คือฉากบู๊ที่น่าสนใจนั้นคือฉากที่พี่จา พนมของเราโดดลงมาเล่นครับ อย่างน้อยลีลาพี่จาก็ยังพริ้วอยู่ แต่ผมว่าทีมงานใช้พี่จาไม่คุ้มนะ เพราะพี่จาเขาทำอะไรได้มากกว่าที่เราเห็นเยอะน่ะครับ ใครดูองค์บาก ดูต้มยำกุ้งมาก็จะตระหนักได้เลยครับว่าพี่ที่พี่จาออกลีลาในเรื่องนี้น่ะ ไม่ได้ครึ่งของลวดลายที่พี่จาเคยทำไว้ในหนังเรื่องเก่าๆ (อารมณ์เดียวกับตอนดู Monster Hunter เลย)

จริงๆ ผมดูหนังเรื่องนี้เพราะอยากดูพี่จา และอยากตามมาเจอพี่ Nicolas Cage ครับ ซึ่งพี่ Cage แกก็เล่นได้โอเคนะ โดยส่วนตัวผมว่าพี่แกเป็นจุดเด่นที่สุดของหนังแล้วล่ะ แต่ก็อย่างที่เดาได้ว่าพี่ Cage คงจะมีบทไม่เยอะ แม้ตรงโปสเตอร์พี่แกจะเด่นก็เถอะ ซึ่งอันนี้ดูก็รู้ครับว่าคนทำเชิญพี่ Cage และพี่จามาเพื่อเรียกคนดูแน่นอน (ก็ถือว่าได้ผลครับ เพราะคนดูแบบผมก็ตามมาดูจริงๆ น่ะแหละ)

แล้วทราบไหมครับว่าจริงๆ แล้วบทที่พี่ Cage มาแสดงเนี่ย ดั้งเดิมเขาจะให้ Bruce Willis มาเล่น แต่พอดีว่า Willis ติดงานเล่นเรื่องอื่นอยู่ ทีมงานเลยได้พี่ Cage มาสวมบทแทน และพี่ Cage ของเราก็มาถ่ายทำแค่ 3 วันแรกเท่านั้นครับ (ส่วนกองถ่ายนั้นถ่ายทำกันใช้เวลาทั้งสิ้น 6 สัปดาห์ครับ)

Untitled06840

ทีนี้พอมาถึงเรื่องฉากบู๊ ผมก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่ามันส์ คือมันต้องมีอะไรมากกว่าแค่ให้คนมาต่อยเตะตีกันแน่ๆ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหนังทุกเรื่องที่มีฉากคนต่อยกันก็คงทำให้เรารู้สึกมันส์ได้เท่าๆ กันหมดไปแล้ว – ในมุมมองผมแล้ว มันต้องมาพร้อมลีลาและลูกเล่น ลีลานี่หมายถึงกระบวนท่าของคนบู๊ก็ต้องมีความหวือหวาตามท้องเรื่อง ไม่ใช่แค่ต่อยๆ เตะๆ แบบคนทั่วไป อย่างใน Ip Man เป็นต้นครับ ลีลาลวดลายของอาจารย์ยิปมันทำให้เราถึงแก่ความมันส์ได้มากกว่าการเห็นคนต่อยตีกันแบบทั่วๆไป หรือไม่ก็ิอย่างพี่จาของเรานี่แหละ ลีลาสุดพริ้วของพี่เขาก็คือชูรสชั้นดีให้กับฉากโชว์สตันท์ทั้งหลาย

แล้วก็ลูกเล่น ไม่ว่าจะลูกเล่นในฉาก เช่น ตีกันในสถานที่แปลกๆ หรือมีชัยภูมิให้ตัวละครออกลีลาได้ โชว์ของได้ หรือลูกเล่นของประกอบฉากแบบหนังเฉินหลงที่เอาพัด เอาบันได เอาของอะไรต่อมิอะไรในฉากมาใช้ประกอบในการต่อสู้ อะไรเหล่านี้ก็ช่วยเพิ่มรสชาติให้ฉากบู๊ได้ทั้งสิ้น

ที่พูดมาไกลนี่ก็เพราะว่า ใน Jiu Jitsu เนี่ย สิ่งที่เราเห็นก็คือ คนต่อยตีกัน แค่นั้นครับ ไม่ได้มีอะไรหวือหวาหรือน่าสนใจ หรือบางฉากแม้จะมีลูกเล่น เช่น ตอนต้นๆ จะมีช่วงหนึ่งที่ถ่ายทำในมุมมองเหมือนเกม First Person Shooting แทนสายตาตัวละคร แต่นั่นก็ไม่ได้เสริมความมันส์ให้กับฉากนั้นเลย แล้วเอาเข้าจริงมันกลับลดทอนความมันส์ลงด้วยซ้ำ เพราะฉากที่ว่านี้พี่จาของเราก็อยู่ครับ แต่แทนที่เราจะได้เห็นลีลาพี่จาแบบเต็มๆ เรากลับเห็นแบบจำกัด แล้วมันก็เลยพลอยจำกัดความมันส์ไปโดยปริยาย

พูดถึงฉากบู๊แล้ว นอกจากฉากพี่จาโชว์ตอนกลางๆ เรื่อง ก็จะมีฉากที่พี่ Cage แกดวลเดี่ยวกับบุรุษต่างดาวครับ ฉากนี้ถือว่าบู๊ได้โอเคและมีกลิ่นอายของประเด็นเรื่องศักดิ์ศรีไม่น้อยเหมือนกัน และในเรื่องนี้พี่ Cage แกบู๊เองกว่า 80% ครับ มีใช้สตันท์บ้างก็แค่บางฉากเท่านั้น

สำหรับผมแล้ว การดู Jiu Jitsu ได้ประโยชน์อยู่ 2 อย่างครับ อย่างแรกคือได้ตามมาให้กำลังใจพี่ Cageพี่จา รวมถึงดาราหน้าคุ้นอีกหลายคนเช่น Frank Grillo แล้วก็ Rick Yune ซึ่งรายหลังนี่ไม่ได้เห็นเขานานแล้วเหมือนกัน ส่วนประโยชน์อย่างที่ 2 คือได้มานั่งใคร่ครวญครุ่นคิดว่าหนังแอ็กชันที่มันส์กับไม่มันส์นั้นมันต่างกันอย่างไรบ้าง (นี่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่า ตกลงระหว่างที่ผมดูหนังเรื่องนี้เนี่ย ใจผมจดจ่ออยู่กับหนังสักกี่เปอร์เซ็นต์)

ไปๆ มาๆ การดูหนังในระยะหลังของผม นอกจากจะดูเพื่อใฝ่หาความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว บางครั้งก็เหมือนเป็นการแวะเยี่ยมคนรู้จัก แวะให้กำลังใจคนคุ้นเคย แม้หนังจะไม่สนุกก็ไม่เป็นไร เพราะมันสำคัญตรงที่เราได้เห็นหน้าดาราที่เราชื่นชม และต่อให้หนังไม่สนุกก็เถอะ แต่มันก็ยังให้แง่คิดหรือประโยชน์บางอย่างติดหัวกลับมาได้ไม่มากก็น้อย

แต่หากให้แนะนำอย่างตรงๆ แล้ว เวลาในชีวิตเรานั้นมีค่าครับ ดังนั้นเอาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่าหรือคุ้มกว่าก็น่าจะดีกว่า

สำหรับเรื่องนี้ ก็บอกได้ว่าไม่สนุกกครับ ดู Mortal Kombat ซ้ำจะดีเวิร์กกว่าเยอะ (ไม่ว่าจะฉบับใหม่หรือฉบับเก่าก็ล้วนมันส์กว่าหนังเรื่องนี้ทั้งสิ้น) ยกเว้นอยากมาเจอหน้าดาราคุ้นเคยแบบผมน่ะครับ หากอยากชมด้วยเหตุผลนั้น ก็ดูได้ตามสบาย

ดาวเดียวครับ

Star11

(4/10)