เยอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ของ ลิเวอร์พูล กล่าวเปรียบเทียบการปฏิเสธฉีดวัคซีนว่าเหมือนการเมาแล้วขับ พร้อมยืนยันว่าลูกทีมของเขา 99 เปอร์เซ็นต์ได้ฉีดเรียบร้อยแล้ว
โคโรน่าไวรัสยังคงเป็นปัญหาสำคัญของโลกในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงวงการฟุตบอล ที่ส่งผลกระทบให้เห็นกันแล้วทั้งจากนักเตะที่พลาดลงสนาม รวมถึงปัญหาในการเดือนทางไปเล่นกับทีมชาติ
สัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานว่ามีเพียง 7 ทีมในพรีเมียร์ลีกที่นักเตะฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้วเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเชื่อกันว่าทางลีกควรให้รางวัลกับทีมที่เป็นผู้นำในการจัดการกับโคโรน่าไวรัส
คล็อปป์ ยืนยันว่าลูกทีมของเขาฉีดวัคซีนกันเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว พร้อมยกการเมาแล้วขับมาเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน
“ผมคิดว่าคงพูดได้เลยว่าพวกเรา 99 เปอร์เซ็นต์ต่างก็ฉีดวัคซีนกันไปหมดแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องกล่อมนักเตะ มันเป็นยิ่งกว่าการตัดสินใจตามธรรมชาติของทีม ผมนึกไม่ออกว่าเคยพูดกับนักเตะหรืออธิบายเหตุผลให้พวกเขาฟังหรือเปล่า ผมไม่ใช่คุณหมอนะ” เขากล่าว
“สิ่งที่ผมทำได้, ก็เหมือนกับที่ผมทำให้สถานการณ์ทั่วไป, ผมคงให้ได้แค่คำแนะนำ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น”
“แต่โดยปกติแล้วมันราวกับว่าเราไม่ควรให้คำแนะนำกับผู้คน แล้วผมจะรู้ได้จากไหนล่ะว่าตัวเองควรฉีดวัคซีน? ผมโทรหาคุณหมอที่รู้จักมาหลายปีแล้ว ผมโทรหาพวกเขาแล้วถามว่า ‘คุณคิดว่ายังไงล่ะ?’ นั่นคือสิ่งที่ผมทำ ถ้าผมอยากรู้อะไรที่ตัวเองไม่รู้ ผมก็จะถามผู้เชี่ยวชาญ”
“นั่นคือเหตุผลที่ผมฉีดวัคซีน เพราะผมอยู่ในช่วงอายุที่อาจเกิดเรื่องยุ่งยาก และผมก็แฮปปี้ที่ได้ฉีดไปแล้ว”
“บางทีผมอาจจะซื่อไปหน่อย แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงถูกห้ามให้คำแนะนำ ถ้าผมพูดว่า ‘ผมฉีดวัคซีนแล้วนะ’ ผู้คนก็จะบอกว่า ‘คุณจะมาบอกเราให้ฉีดวัคซีนได้ยังไง?’ ผมอธิบายเรื่องนี้ได้”
“มันก็คล้ายๆกับการเมาแล้วขับ เราอาจเจอกับสถานการณ์ที่ต้องดื่มเบียร์สักแก้ว 2 แก้วและยังคิดว่าขับรถไหว แต่กฎหมายบอกว่าคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ขับ เราจึงไม่ทำกัน”
“มันไม่ใช่กฎหมายเพื่อปกป้องผม มันใช้ปกป้องคนอื่นๆ เพราะผมเมาปลิ้นแล้วยังอยากขับรถ และเราต้องเคารพมันตามกฎหมาย”
“เราต่างรู้ว่าแอลกอฮอล์ไม่ดีต่อร่างกาย แต่เราก็ยังดื่ม ขณะที่วัคซีน, เราทึกทักกันไปว่ามันไม่ดีต่อร่างกาย แม้ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะบอกเราว่ามันเป็นทางออกสำหรับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้”
“ผมไม่ได้ฉีดวัคซีนเพื่อปกป้องตัวเอง ผมฉีดเพื่อปกป้องคนรอบข้าง และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมองว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพด้วย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นการเมาแล้วขับก็เป็นการจำกัดเสรีภาพด้วยเหมือนกัน แต่เราก็ยอมรับกันได้”
“เราถูกห้ามไม่ให้ถามผู้คนว่าฉีดวัคซีนหรือยัง แต่ผมถามคนขับแท็กซี่ได้ว่า ‘คุณเมาหรือเปล่า?’ และถ้าเขาตอบว่า ‘ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ’ ผมก็คงบอกไปว่า ‘โอเค ผมไม่ขึ้นรถคุณ’ และถ้าผมมาถึงออฟฟิศในสภาพที่เมาปลิ้น พวกเขาคงส่งผมกลับบ้านหรือปลดจากตำแหน่ง”
“ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้ ผมฉีดวัคซีนแล้ว, ใช่, เพราะผมกังวลเกี่ยวกับตัวเอง แต่ผมกังวลยิ่งกว่าเกี่ยวกับคนรอบตัวผม”
“ถ้าผมติดเชื้อแล้วต้องเจ็บป่วยด้วยตัวเอง มันก็เป็นความผิดของผมเอง แต่ถ้าผมติดเชื้อแล้วแพร่ไปสู่คนรอบข้าง นั่นจะเป็นความผิดของผมและไม่ใช่ของพวกเขา”