ผมเลือกดู Jolt แบบแบลงค์ๆ ครับ คือไม่ได้คิดและไม่ได้หวังอะไรเลย ดูไปแบบแบลงค์ๆ ครั้นดูจบก็รู้สึกแบลงค์ๆ อีกเหมือนกัน
ผมว่าหนังเหมาะแก่การดูแบบเพลินๆ น่ะครับ ว่าตามจริงหนังไม่ได้ซับซ้อนอะไร หลายอย่างเดาได้ไม่ยากเลย กับเรื่องของลินดี้ (Kate Beckinsale) สาวแรงสูงที่มีปัญหาเรื่องการคุมอารมณ์ ชนิดที่เธออาจจะฆ่าคนเลยก็ได้หากขาดสติขึ้นมา เธอเลยพยายามบำบัดด้วยการช็อตไฟฟ้าครับ
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเธอก็พบกับจัสติน (Jai Courtney) นักบัญชีหนุ่มที่ทำให้เธอประทับใจ แต่แล้วกลับเกิดเหตุร้ายกับเขา และเมื่อตำรวจยังไม่สามารถจับคนลงมือได้ เธอเลยตัดสินใจลงสนามบุกสืบความจริงเองมันซะเลย
อย่างที่บอกครับว่าดูแบบแบลงค์ๆ ตัวหนังไม่ได้มีอะไร มันคือแนวดราม่าผสมไซไฟแล้วปนแอ็คชั่นระทึกขวัญเข้าไป เพียงแต่การนำเสนอออกไปในโทนเบาๆ ครับ ไม่เครียดมาก ผมเลยรู้สึกว่าหนังทำออกมาเพื่อตอบโจทย์ความบันเทิงเป็นหลัก พลังสำคัญที่ทำให้หนังดูไปเรื่อยๆ ก็คือดารานี่แหละครับ Beckinsale ยังคงสวยและมีเสน่ห์อยู่ โดยส่วนตัวผมว่าบทนี้ของเธอก็เหมือนเซลีนใน Underworld น่ะครับ ต่างกันแค่เรื่องนั้นเธอเป็นแวมไพร์ที่มีสติ ในขณะที่เรื่องนี้เธอเป็นสาวที่เดือดง่ายและพร้อมบวก
ดาราสมทบแวดล้อมไม่ว่าจะ Courtney, Stanley Tucci ในบท ดร.มันชินที่ทำหน้าที่บำบัดให้ลินดี้, Bobby Cannavale ในบทเจ้าหน้าที่วิคาร์ส ที่คอยตามจับลินดี้ และ David Bradley ในบทกาเร็ธ ไฟเซล เจ้าพ่อของเมือง ว่าตามจริงบทเหล่านี้ให้ใครมาแสดงก็ได้ครับ แต่การเลือกเอาดาราหน้าคุ้นมันทำให้หนังดูมีระดับขึ้น และฝีไม้ลายมือของดาราแต่ละคนก็พร้อมจะทำให้ตัวละครธรรมดาๆ ดูมีความน่าสนใจขึ้นมาได้เสมอ
แต่ต้องบอกก่อนว่าใครคาดหวังแอ็คชั่นนี่ต้องปรับความคาดหวังนะครับ เพราะมันไม่ได้บู๊อะไรมาก ไม่ใช่หนังแบบ John Wick และลีลาการบูู๊ก็ไม่ได้พิสดารอะไร ส่วนใหญ่หนังจะเดินเรื่องไปในเชิงดราม่าบวกระทึกแบบเบาๆ มากกว่า
หนังก็โอเคในแบบของมันครับ ดูได้แบบเพลินๆ ดูหนึ่งจบก็ได้ไปหนึ่งเพลิน แล้วหนังยาวแค่ชั่วโมงครึ่งด้วย เลยรู้สึกเหมือนแป๊บๆ – แม้ช่วงกลางๆ การเดินเรื่องอาจช้าไปหน่อยจนแอบสัปหงกนิดก็ตาม
แต่ดูเรื่องนี้ก็อดคิดไม่ได้นะครับว่าต่อไปมนุษย์เราจะต้องมีนวัตกรรมมาระงับความเดือดของตัวเองหรือเปล่า เพราะโลกเราทุกวันนี้ดูเหมือนจะมีคนหัวร้อนมากขึ้น การไฝว้กันเหมือนจะเกิดได้ง่ายขึ้น จนแอบคิดเหมือนกันว่าเราควรทำอะไรกันสักอย่างเพื่อบรรเทาความหัวร้อนทั้งของตนเองและคนอื่นๆ ในสังคม เพื่อไม่ให้โลกไม่น่าอยู่ยิ่งไปกว่านี้
ชะตากรรมมวลรวมของสังคม จะว่าไปแล้วก็เป็นผลมาจากเราๆ กันเองนี่แหละ
เอาเป็นว่าหนังดูได้ครับ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้เด็ดอะไร จบแล้วก็จบกัน
สองดาวแบลงค์ๆ ครับ
(6/10)