Just Beyond Season 1 (2021)

ทันทีที่ผมได้ดูตัวอย่างซีรี่ส์นี้ผมก็รอดูเลยครับ เพราะมันน่าจะเข้าทางผมแบบเต็มๆ กับซีรี่ส์แนว Anthology หรือเรื่องสั้น แบบจบในตอน ที่มาพร้อมจินตนาการและเรื่องราวแปลกประหลาด หัวผมนี่ก็นึกไปถึง The Twilight Zone ยิ่งบอกว่าเอาเค้าโครงมาจากเรื่องของ R.L. Stine แล้วด้วย ในหัวก็นึกถึงซีรี่ส์เก่าอย่าง Goosebumps และ The Haunting Hour ขึ้นมาเลย

ครั้นพอดูตอนแรกจบ ผมก็นั่งอึ้งๆ อยู่พักหนึ่ง พร้อมมีคำว่า “ไม่ตรงกับที่หวัง” ผุดขึ้นในหัว

สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้จะเรียกว่าสปอยล์ก็คงได้น่ะนะครับ แต่ผมไม่ได้จะสปอยล์เนื้อเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก ผมกำลังจะบอกทิศทางของซีรี่ส์ที่บอกแล้วอาจเหมือนสปอยล์ แต่ผมก็ยังอยากบอกครับ และจริงๆ ก็อยากให้ทุกคนรู้ด้วย เพื่อที่จะได้ไม่ไปคาดหวังแบบผิดทิศทางจนก่อให้เกิดความผิดหวังแบบที่ผมรู้สึกในคราวแรก ทีนี้จะอ่านต่อหรือไม่ก็ต้องสุดแท้แต่ล่ะนะครับ

แรกเริ่มเดิมทีนั้นผมคาดหวังอะไรที่จะเหมือนกับหนังหรือซีรี่ส์แนวเรื่องสั้นระทึกขวัญน่ะครับ แบบที่แต่ละตอนมาพร้อมเรื่องแปลกๆ และตอนจบที่หักมุมหรือจบแบบทำร้ายจิตใจอะไรประมาณนั้น แต่กับ Just Beyond นี่มันไม่ใช่แบบนั้นครับ

โอเค ในแต่ละตอนมาพร้อมเรื่องล้ำจินตนาการเหนือธรรมชาติ อาจมีการหักมุมบ้าง แต่โทนของเรื่องจะไม่เน้นสยองขวัญ ไม่เน้นตื่นเต้น คืออาจจะมีบ้างบางตอนที่น่ากลัวนิดๆ ครับ แต่สุดท้ายบทลงเอยของมันจะมาพร้อมความหวัง มาพร้อมความประทับใจ มาพร้อมความรู้สึกดีๆ ว่าง่ายๆ คือถ้าใครผ่าไปคาดหวังการหักมุมอึ้งแบบทำร้ายจิตใจก็จะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน

และตอนแรกผมก็ดันไปหวังแบบนั้นครับ เลยอึ้งนิดๆ ตอนดูตอนแที่ 1 จบ อารมณ์ประมาณว่า “อ้าว ทำไมจบแบบมีความสุขแบบนี้ล่ะเฮ้ย” (มานึกตอนนี้ผมก็ขำตัวเองอยู่เหมือนกัน 5555)

ยอมรับครับว่าตอนแรกผมออกแนวผิดหวังนะ แต่พอดูตอนที่ 1 จบก็ตระหนักเลยว่าเราคาดหวังผิดทิศแล้ว และขืนยังคาดหวังในทิศทางนั้นต่อไปก็คงจะต้องผิดหวังรัวๆ อย่างแน่นอน จากนั้นผมเลยปรับความคาดหวังครับ ว่าโทนซีรี่ส์มันคงแบบนี้แหละ มาในแนวให้ความหวัง จบแบบสวยๆ พร้อมสอดแทรกคติสอนใจให้ผู้ชมรุ่นเยาว์ได้เก็บเกี่ยวไปขบคิดกัน

แล้วพอผมปรับทิศในหัว ผมก็เริ่มสนุกกับซีรี่ส์ครับ ตอนที่ 1, 2, 3 ถือว่าโอเค อาจไม่ยอดมากมายแต่ถือว่ามีสาระดีๆ ให้คิด แล้วจากนั้นความชอบของผมก็มาพุ่งเอาตอนที่ 4 (My Monster) ครับ อาจเพราะตอนนี้มีโทนน่ากลัวมากกว่าตอนอื่นๆ ในขณะที่ตอนจบนั้นผมถือว่าให้แง่คิดที่ดีมากๆ เกี่ยวกับการกล้าเผชิญกับปัญหาหรือสิ่งที่เรากลัว ถือว่าสื่อสารออกมาได้ดีและเห็นภาพครับ

ตอนที่ 5 ก็โอเค และพอถึงตอนที่ 6 (We’ve Got Spirits, Yes We Do) บอกได้เลยครับว่าผมชอบตอนนี้ที่สุด ทั้งการเดินเรื่อง ทั้งสาระที่เรื่องราวต้องการสื่อ และบทสรุปผมถือว่าเจ๋งครับ เป็นอีกตอนเลยที่อยากให้ได้ดูกันโดยเฉพาะวัยรุ่นหรือวัยที่กำลังก้าวไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ มันบอกอะไรดีๆ ที่ควรรู้อย่างยิ่งเลยล่ะครับ

ตอนที่ 7 ก็ดูได้เพลินๆ ก่อนจะปิดด้วยตอนที่ 8 (The Treehouse) ที่ด้วยโทนเรื่องสามารถเรียกอารมณ์ประทับใจให้เราได้อย่างพอเหมาะ และถือเป็นการจบซีรี่ส์ปีแรกได้แบบกำลังดี ดนตรีตอน End Credits ตอนสุดท้ายก็รองรับอารมณ์ตอนจบของปีได้แบบซึ้งๆ ครับ

แต่อันนี้ขอบ่นหน่อย คือผมดูจาก Disney+ ใช่ไหมฮะ แล้วพอถึง End Credits ตอนที่ 8 เนี่ย ผมก็อยากจะนั่งฟังดนตรีให้จบจนหมดเครดิตเพื่อเสพอารมณ์ให้ครบถ้วน แต่แอปดันจ้องจะพาเราไปดู Monster at Work อย่างเดียวเลย ผมต้องกดย้อนดูตอนนี้ซ้ำหลายรอบมากเพื่อจะฟังดนตรีตอนจบ แต่ไม่ว่าจะฟังกี่รอบมันก็จะดีดไป Monster at Work ท่าเดียว ในขณะที่ตอนอื่นๆ ก่อนหน้ามันจะมีกดให้เลือกว่าเราจะดู End Credits ไหม แต่ตอนที่ 8 นี่ไม่มี มีแต่นับถอยหลัง 20 วินาที แล้วดีดไป Monster at Work เลย

จนในที่สุดผมต้องเข้า Youtube ไปหาดนตรีตอน End Credits ที่ว่าเอามานั่งฟังต่างหาก ต้องทำแบบนั้นถึงจะได้ฟังดนตรีตอนจบตอนที่ 8 แบบครบถ้วน – อันนี้ถือว่าระบายนะครับ แต่ยอมรับว่าเสียอารมณ์จริงๆ อารมณ์กำลังมา ดนตรีกำลังดีเลย ดันโดนดีดออกอยู่นั่นแหละ

กลับมาเรื่องซีรี่ส์นะครับ สรุปคือผมโอเคกับมันนะ จากตอนแรกที่เหวอหน่อยๆ ที่ซีรี่ส์มันไม่จบแบบทำร้ายจิตใจ แต่พอจับทางได้ผมก็รู้สึกชอบครับ ชอบเรื่องราว ชอบการนำเสนอ ชอบสาระดีๆ และหลายตอนทีเดียวที่สามารถบิ้วอารมณ์คนดูให้อินไปกับเรื่องราวได้ (โดยเฉพาะตอนที่ 6 กับ 8)

แต่ผมก็เชื่อว่าต้องมีคนไม่ชอบครับ อาจเพราะตัวอย่างทำให้คาดหวังว่ามันจะมาในแนวหลอนๆ หักมุมๆ น่ากลัวๆ จบแบบจิตตกอะไรแบบนั้น แต่เปล่าครับ นี่คือซีรี่ส์ตอนสั้นที่มาพร้อมกลิ่นอายของอารมณ์ Feel Good ดูได้เพลินๆ ดูได้เรื่อยๆ แต่ละตอนก็ไม่ยาวเกินไป แค่ประมาณ 25 นาที จัดว่ากำลังดีครับ (ผมดีใจมากเลยที่ซีรี่ส์นี้ไม่เจริญรอยตาม The Twilight Zone เวอร์ชั่นล่าสุดที่ทำแต่ละตอนออกมาค่อนข้างยาวเกินไปหน่อย)

ก็ลองปรับใจก่อนดูครับ ยกเว้นไม่ชอบสไตล์นี้จริงๆ ก็ข้ามไปได้ แต่หากใครชอบเรื่องสั้นเหนือธรรมชาติ+ไซไฟที่มาในโทนไม่หนัก ก็น่าจะชอบครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)