สำหรับผมแล้ว ความสนุกของ Knives Out ไม่ได้อยู่ตรงการเดาตัวฆาตกร (เพราะสารภาพตามตรงว่าพอจะเดาได้ตั้งแต่แรกๆ แล้ว) แต่มันสนุกเพราะหนังมีองค์ประกอบดีๆ มาผสมกันอย่างพอเหมาะ ไม่ว่าจะทีมดารามือดี การเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง มีรายละเอียดและมีอะไรให้ตามอยู่เรื่อยๆ และโทนของเรื่องที่ไม่หนักไม่เบาจนเกินไป ดูแล้วได้อารมณ์หนังสืบสวน แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เรายิ้มได้เป็นระยะๆ
พล็อตหลักง่ายมากครับ นักเขียนนิยายสืบสวนชื่อดัง ฮาร์ลาน ทรอมบี (Christopher Plummer) เสียชีวิต ตอนแรกก็เหมือนว่าเขาจะฆ่าตัวตาย แต่ไปๆ มาๆ มันชักจะมีเงื่อนงำมากกว่านั้น ไหนจะการมาของเบนัวต์ บลองค์ (Daniel Craig) นักสืบที่จู่ๆ ก็โผล่มาเฝ้าดูการสืบสวนคนในบ้าน – แล้วตกลงว่าคุณปู่ฮาร์ลานฆ่าตัวตายหรือโดนฆาตกรรมกันแน่ คำตอบอยู่ในหนังครับ
หนังรวมดาราเอาไว้เพียบครับ แต่ละคนก็มีวาระขโมยซีนเป็นของตัวเองมากน้อยต่างกันไป ซึ่งเอาเฉพาะพลังดารานี่ก็ทำให้หนังน่าดูไปได้เรื่อยๆ แล้ว คนที่เด่นสุดต้องยกให้ Ana de Armas ในบทมาร์ธา ผู้ดูแลฮาร์ลานที่ดูเหมือนจะรู้อะไรมากกว่าที่บอก ถือเป็นการแสดงที่น่าจดจำครับ เธอถ่ายทอดตัวตนได้ดี และบางครั้งการไม่แสดงออกของเธอก็บอกอะไรได้มากมาย เธอดูเป็นคนหงอๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีความแกร่งความไม่ยอมใครแฝงอยู่ ผมชอบฉากที่วอลต์ (Michael Shannon) มาคุย (กึ่งขู่) กับเธอตรงหน้าบ้าน ฉากนี้สะท้อนได้ดีทั้งตัววอลต์และมาร์ธา
อีกรายที่ดูท่าว่าคงจะสนุกตอนแสดงก็คือ Chris Evans ในบทแรนซั่ม ตัวละครที่ยียวนกวนสุดของเรื่อง ผมว่าเรื่องนี้พี่เขาได้มาปลดปล่อยนะ หลังจากสุภาพเคร่งขรึมอยู่ในบทกัปตันอเมริกามาตั้งนานหลายปี มาเรื่องนี้ได้กวน ได้บ่น ได้ด่า ได้ออกลายออกงิ้วแบบเต็มที่ไปเลย
สำหรับ Plummer ถือว่ามาน้อยแต่แน่นครับ เป็นหนึ่งในผลงานเรื่องท้ายๆ ที่จัดว่าน่าจดจำ ไม่ว่าจะปรากฏตัวฉากไหนเขาก็เอาฉากนั้นๆ ได้อยู่มือ นอกจากนี้ยังมี M. Emmet Walsh มารับเชิญในบทคุณพรูฟร็อก ยามรุ่นอนาล็อกที่มาพร้อมกล้องวงจรปิดแบบโบราณ ตอนแรกผู้กำกับ Rian Johnson อยากได้ Ricky Jay ดารานักมายากลไพ่ในตำนานมารับบทครับ แต่เนื่องจากเขาเสียชีวิตไปก่อนเลยเชิญ Walsh มาแสดงแทน ซึ่งรายนี้ก็เล่นได้ดีเสมอไม่ว่าบทจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน
ส่วน Craig ก็ถือว่าประสบความสำเร็จกับบทบลองค์ครับ เขามาพร้อมคาแรคเตอร์นักสืบในแบบของตัวเอง เป็นส่วนผสมของเชอร์ล็อค โฮล์มส์, ฌาคส์ คลูโซ (The Pink Panther) และแฟรงค์ เดรบิน (The Naked Gun) เป็นนักสืบที่มีความโก๊ะพอๆ กับความเก่ง – เก๊กนิดๆ รั่วหน่อยๆ – เท่ห์กึ่งก่งก๊ง เป็นการผสมที่เข้าท่าทีเดียว
ในแง่การเล่าเรื่องก็ถือว่าแน่นกำลังดีตามสไตล์ของ Johnson ที่มักเล่าอย่างมีทิศทาง เล่าให้ได้บรรยากาศ และมักจะเล่าอย่างมีจุดประสงค์ครับ
บางฉากเขาอยากเล่าให้เราจับสังเกตถึงความผิดปกติหรือจุดผิดเพี้ยน อย่างตอนที่ตัวละครเล่าเรื่องของตัวเอง เราก็จะเห็นภาพแฟลชแบ็คอย่างหนึ่ง แต่พออีกตัวมาเล่าเรื่องเดียวกันฉากเดียวกัน เราก็จะได้เห็นแฟลชแบ็คเดียวกันที่มีรายละเอียดบางอย่างต่างออกไป
บางฉากก็อยากให้เราเห็นคาแรคเตอร์ของตัวละคร บางทีก็เน้นที่ตัวละครหนึ่งหรือสองตัว (อย่างตอนเม็ก (Katherine Langford) ยกหูโทรหามาร์ธา) หรืออย่างตอนที่คนในครอบครัวทรอมบีออกงิ้วช้งเช้งใส่กัน ถ้าดูการโวยวายแบบภาพรวมก็เห็นแบบหนึ่ง – ถ้าดูแบบลงลึกเฉพาะตัวละครเราก็อาจจะเห็นอีกแบบหนึ่ง – แต่ที่แน่ๆ เลยคือยอมรับครับว่าดาราแต่ละคนสวมวิญญาณเป็นบทนั้นๆ จริงๆ
ยอมรับนะว่าตอนดูรอบแรกผมยังไม่ถึงกับชอบอะไรนักครับ ส่วนหนึ่งเพราะตอนนั้นดูแบบตั้งใจไม่เต็มร้อย ดูไปทำอย่างอื่นไป และยังคิดไปด้วยว่าหนังน่าจะออกแนวฮามากกว่านี้ แต่พอมาดูรอบหลังแบบตั้งใจแล้วเก็บรายละเอียด ก็รู้สึกสนุกขึ้นครับ ตระหนักเลยว่าหนังไม่ได้ตั้งใจขายฮา และหลายฉากหลายช่วงนี่มีรายละเอียดเล็กๆ ให้เราสังเกต ไม่รายละเอียดเกี่ยวกับตัวละครก็รายละเอียดเกี่ยวกับฉาก
ผมรู้สึกว่าผู้กำกับ Johnson รู้อยู่ว่าสูตรหนังแบบ Whodunit (ใครคือฆาตกร) นั้นมีความแข็งแกร่งในตัวเองอยู่แล้วระดับหนึ่ง พี่แกเลยไม่เน้นเรื่องการสืบสวนตามปมอะไรมาก รวมถึงไม่ได้พยายามตั้งใจเล่นท่ายากให้คดีมันพลิกผันสวิงสวาย แต่แกไปเน้นในเชิงรายละเอียดและองค์ประกอบอื่นๆ ให้มันแน่นและมีอะไรมากขึ้น หนังเลยดูเป็นหนังสืบสวนที่มีองค์ประกอบแข็งปั๋งและมีตัวละครหลากมิติให้เราพิจารณา (ในกรณีที่อยากพิจารณาน่ะนะครับ มันสะท้อนมิติความเป็นคนได้เยอะพอดู)
นึกเล่นๆ อยากเห็น Johnson แกทำเชอร์ล็อค โฮล์มส์จังครับ
ดังนั้นตัวหนังอาจไม่ได้สนุกหวือหวาในเรื่องการสืบคดีน่ะนะครับ รวมถึงไม่ได้ฮาแตกตึ้งโป๊ะอะไรด้วย ใครคาดหวังอะไรที่มันจัดจ้านสีสันเยอะๆ ก็อาจต้องปรับความคาดหวังนิดนึงครับ ผมว่าหนังมันออกแนวสืบสวนแฝงอารมณ์ขันที่มีองค์ประกอบแวดล้อมที่เข้มข้นและดูมีฟอร์ม – แต่ถ้าใครดูแล้วเฉยๆ ก็ไม่แปลกครับ ผมเองตอนแรกก็อย่างที่บอกว่าไม่ได้ชอบอะไรมาก จนกระทั่งมาดูอีกรอบนี่แหละถึงชอบมากขึ้น
หนังไม่ได้เน้นตอบโจทย์บันเทิง แต่เน้นในความหนักเครื่องขององค์ประกอบมากกว่า
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ ผลลัพธ์ออกมาดีน่าจดจำ และยังทำเงินทั่วโลก $312 ล้าน จากทุนประมาณ $40 ล้านเท่านั้น ฟันกำไรบานล่ะครับ ไม่แปลกใจเลยที่ Netflix จะคว้าสิทธิ์ไปทำภาคต่อ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)