Knowing (★★1/2) ตอนเข้าโรงนี่อยากดูมากครับ เหตุผลสำคัญเพราะหนังกำกับโดย Alex Proyas แห่ง The Crow, Dark City และ I, Robot เรียกว่าทำหนังได้อร่อยเหาะมาหลายเรื่องติดๆ กัน เลยอยากดูเรื่องนี้เป็นพิเศษและโดยพล็อตก็น่าสนออก เมื่อ จอห์น (Nicolas Cage) คุณพ่อนักฟิสิกส์ได้พบรหัสตัวเลขปริศนาที่ลูกชายหยิบติดมือกลับบ้านมาจากงานโรงเรียน แล้วเขาก็ลองถอดรหัสครับ ปรากฏว่ามันเป็นตัวเลขที่ทำนายภัยพิบัติครั้งใหญ่ๆ ได้อย่างแม่นยำ… และภัยครั้งที่ใหญ่กว่าภัยใดๆ กำลังจะเกิดในไม่ช้าตามปกติเวลาผมดูงานของ พี่ Proyas แล้วมักจะเห็นหน้าแกลอยมาประจำ (พี่แกจะท้วม หน้ากลมประมาณพี่บอยด์) แต่พอดู Knowing เสร็จดันนึกถึง M. Night Shyamalan แทน ด้วยสไตล์แล้วมันออกแนวพี่มาโนชมากๆ นึกถึง Signs, The Happening แล้วก็ The Village เรื่องก็จะค่อยๆ เผยปมไปทีละนิด ทิศทางเรื่องมีพลิกไปพลิกมา (แต่ยังพอเดาได้) ก่อนจะตบท้ายด้วยบทสรุปที่ผมฟังธงเลยครับว่าต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบปนๆ กันไป อันนี้ก็ต้องแล้วแต่รสนิยมล่ะนะครับ ซึ่งก็ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังบู๊แอ็กชันกระหน่ำครับ ออกแนวระทึกเป็นหลักตัวหนังมีทั้งจุดที่เข้าท่าและที่ยังไม่กลมกล่อมอยู่พอตัว ว่ากันถึงจุดดีก่อนนะครับ ต้องยกให้เรื่องเอฟเฟกต์เลยล่ะ ฉากภัยพิบัติในหนังทำได้เนี๊ยบมาก โดยเฉพาะตอนเครื่องบินตกนะเล่นเอาเหวอไปเหมือนกัน แล้วถ่ายทำแบบ Long Take ด้วยนะครับ (เป็นการถ่ายต่อเนื่องไม่มีคัตจนกว่าจะจบซีน ซึ่งถ้าวางช็อตไม่แม่น ผิดนิดเดียวก็ต้องถ่ายใหม่ทั้งฉาก) หรือตอนอุบัติเหตุรถไฟอีก สำหรับแค่สองฉากนี้ก็คุ้มแล้วล่ะ ไหนจะตอนท้ายอีกครับ ยอมรับเลยว่าหนังสร้างภาพหายนะออกมาได้น่ากลัว สมจริงจนน่าขนลุกทีเดียว ส่วนบรรยากาศชวนผวาก็มาเรื่อยๆ เหมือนกันครับ ทำได้ถึงอารมณ์ด้วย รับรองครับว่าถ้าคุณขวัญอ่อนล่ะก็น่าจะเกร็งเป็นส่วนใหญ่ผมว่า พี่ Cage แกเหมาะกับบทนี้นะครับ คาแร็คเตอร์เขาจะติดภาพลักษณ์พระเอกแบบมีสมองแต่ก็ไม่ใช่คนเก่งที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ฮีโร่จ๋าน่ะครับว่างั้นเถอะ ทำให้คนดูแอบลุ้นรู้สึกอยากเอาใจช่วยแกอยู่ลึกๆ ส่วนดาราเจ้าอื่นๆ กลับไม่ค่อยมีใครเด่นเป็นชิ้นเป็นอันครับ แม้แต่ Rose Byrne ในบท ไดอาน่า เวย์แลนด์ ก็นิ่งกว่าที่คิด ไปๆ มาๆ พระเอกนางเอกตัวจริงคือฉากภัยพิบัติกับการตามปมปริศนามากกว่าผมค่อนข้างชอบธีมของเรื่องนะครับ ที่ตั้งคำถามค้นหาความหมายชีวิตว่า “ชีวิตเราเกิดมาโดยมีบางสิ่งกะเกณฑ์กำหนด หรือเป็นเพียงปฏิกิริยาทางเคมีที่บังเอิญมาจับตัวเข้าด้วยกันเท่านั้น” ถ้ามองมุมแรก ชีวิตเราก็จะดูมีจุดหมายเพราะเราเกิดมาเพื่อบางสิ่ง แต่ก็จะรู้สึกไร้เสรี ถ้ามองมุมหลังก็อาจรู้สึกเป็นอิสระดี แต่เราก็อาจไม่ต่างจากฝุ่นละออง ที่ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร มีเพียงชีวิตที่ลอยไปมาและรอวันสิ้นสุดแค่นั้น ก็ชวนให้คิดดีครับแต่ตัวหนังก็อาจจะไม่ถึงกับสมบูรณ์เต็มร้อยครับ บทอาจมีจุดโหว่บ้างในบางประเด็น หรือบางจังหวะก็เดินเรื่องเร็วจนอารมณ์โดดไปหน่อย แต่หากไม่คิดอะไรมากก็พอจะมองข้ามได้ครับตัวหนังถือว่าทำเงินไปไม่น้อยครับ ได้ไป $183 ล้านจากทั่วโลก ในขณะที่ทุนสร้างอยู่ที่ประมาณ $50 ล้าน จัดว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ Proyas ครับ (ก่อนที่จะเสียรังวัดไปกับ Gods of Egypt ในเวลาต่อมา)ยังไงก็จัดว่าคุ้มครับสำหรับคอหนังแนวระทึกลึกลับแล้วก็ปนไซไฟลงไปอีกหน่อย ตื่นเต้นใช้ได้ เอฟเฟกต์ก็ดี อ้อ แต่อย่าคิดไปดูหนังเรื่องนี้เพื่อคลายเครียดเชียวล่ะครับ มันคลายไม่ได้หรอก ดีไม่ดีจะพาลชวนสมองให้ตึงกว่าเดิมอีกต่างหาก เนื่องจากภัยพิบัติหลายอย่างก็ใกล้ตัวเหลือเกิน เช่น ภาวะโลกร้อน หรือ อุบัติเหตุทางเครื่องบินต่างๆ ถ้ารู้ตัวว่าเครียดง่ายระแวงง่าย แนะนำว่าอย่าเพิ่งดูครับ เดี๋ยวจะเครียดหนักกว่าเก่าแต่ถ้าอยากเห็น “คำทำนายหายนะโลก” ในมุมมองของ พี่ Proyas ก็เชิญได้เลยครับ