ยามที่คนเราเดินทางไกลไปไหนสักแห่ง หากไม่ใช่ไปเพื่อหาบางสิ่ง ก็อาจไปเพื่อหนีจากบางอย่าง…
หลังจาก อีดี้ (Robin Wright) ประสบกับเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต เธอรู้สึกหมดอาลัยต่อทุกสิ่ง และตัดสินใจย้ายไปอยู่ในกระท่อมกลางป่าที่ห่างไกลจากผู้คน เธออยู่ที่นั่นเพียงลำพังจนร่างกายเริ่มจะรับไม่ไหวกับสภาพแวดล้อมที่เธอไม่คุ้นเคย
… และอันที่จริงแล้ว เธอก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมเหมือนกัน…
แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้พบกับ มิเกล (Demián Bichir) นายพรานที่ผ่านไปยังกระท่อมแถบนั้นพอดี และนั่นล่ะครับที่นำพาอีดี้ไปสู่จุดเริ่มต้นของการตั้งหลักชีวิตใหม่อีกครั้ง
นอกจากแสดงนำแล้ว Wright ยังสำแดงฝีมือในการกำกับเป็นครั้งแรกครับ และผลที่ได้ถือว่าน่าพอใจทีเดียว โอเคครับ หนังอาจไม่ถึงกับสุดยอด แต่พูดได้เต็มปากว่าหนังเรื่องนี้มีดีน่าดู อย่างผมนี่ดูแล้วยังกะว่าถ้ามีโอกาสต้องขอเก็บอีกสักรอบ
สิ่งแรกที่ประทับใจผมขอยกให้ภาพป่าเขาลำเนาไพร ทิวทัศน์สวยๆ ที่มีให้ชมตลอดตั้งแต่ต้นจนจบครับ ยอมรับเลยว่าสวยสบายตา ได้ใจมากๆ (หนังถ่ายทำกันทีรัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดาครับ – แถบนั้นธรรมชาติสุดยอด ยามเขียวก็เขียวชอุ่ม ยามใบไม้เปลี่ยนสีก็เหมือนมีคนเอาสีเหลืองไปแต้มแถบนั้น ไล่สีเรียงกันงดงามมาก)
แล้วภาพสวยๆ ยังถูกขับเน้นด้วยดนตรีทำนองคันทรี่กรุ่นกลิ่นอายแห่งป่าเขาจากฝีมือของคอมโพเซอร์ Ben Sollee และวง Time for Three ที่ร่วมกันสรรสร้างดนตรีออกมาได้อย่างพอเหมาะครับ ท่วงทำนองแต่ละบทเพลงล้วนเข้ากับภาพธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง – ระหว่างดูนี่ผมรู้สึกเลยครับว่าตัวเองกำลังผ่อนคลายด้วยภาพสวยๆ และดนตรีอันไพเราะ
ช่วงต้นของหนังอาจจะหนักทางความรู้สึกสักหน่อยครับ หนังพาเราไปร่วมรับรู้ความปวดร้าวของอีดี้ คือเราจะยังไม่รู้อย่างแน่ชัดครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ รู้เพียงเลาๆ ว่าเธอสูญเสียคนที่รักไป และเธอรู้สึกหมดอาลัยตายอยากจากเหตุการณ์นั้น
แต่แม้เราจะไม่ทราบเรื่องราว ทว่าด้วยการแสดงของ Wright และจังหวะการกำกับของเธอ มันสามารถถ่ายทอดความรู้สึก “โลกทลาย” ของอิดี้ให้เราได้สัมผัสครับ จนเราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ตามเธอไปด้วย
แล้วพอผ่านช่วงแรกไปเราก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงความหวังและการเริ่มต้นเมื่ออีดี้ได้พบเจอกับมิเกล – ผมชอบที่ช่วงตอนนี้หนังถ่ายทอดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ว่าพออีดี้เจอมิเกลแล้วเธอจะรู้สึกดีทันที ไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ เธอยังคงปวดร้าวอยู่ และเธอไม่อยากยุ่งกับใคร
แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษและเปี่ยมน้ำใจของมิเกลที่ค่อยๆ ช่วยเธอให้สามารถประคองตัวตนขึ้นมาอีกครั้งได้
ผมชอบมิเกลครับ ชอบวิธีการที่เขาประคองอีดี้ให้เธอลุกขึ้นทีละนิด เขาช่วยเหลือเธอบนความเข้าใจ ช่วยเธอแบบเอาใจเธอมาใส่ใจเขา อีกทั้งยังรู้จักเว้น Space ให้เธอมีพื้นที่ของตนเอง ค่อยๆ กอบรวมตัวตนที่แตกสลายของเธอให้คืนกลับมาตามความพร้อมของสภาพจิตใจ – มันเป็นอะไรที่น่ารักมากๆ และดูแล้วเชื่อน่ะครับว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว อีดี้จะสามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง – Bichir ก็แสดงได้ดีมากจริงๆ ยิ่งช่วงท้ายนี่ทำเอาผมน้ำตาซึมเลยเหมือนกัน
ผมรู้สึกเลยนะครับว่าหนังเรื่องนี้สามารถช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าให้คนดูได้ อย่างผมนั้นวันที่ดูก็รู้สึกเหนื่อยๆ อยู่เหมือนกันครับ แต่พอดูเรื่องนี้จบแล้วนี่มันรู้สึกได้พลังนะ อาจไม่ใช่พลังมหาศาลยิ่งใหญ่แบบพลิกชีวิตได้ในชั่วอึดใจ แต่เป็นพลังเล็กๆ ที่คอยตบบ่า แตะไหล่ ประคองเราให้ลุกขึ้นจากความเหนื่อยล้าอ่อนแรง – เป็นพลังเล็กๆ ที่ทำให้เราพร้อมจะเงยหน้าขึ้นมาเผชิญชีวิตอีกสักตั้ง
ถือเป็นงานกำกับชิ้นแรกของ Wright ที่น่าพอใจครับ ในแง่อารมณ์-หนังสามารถสื่ออารมณ์ตัวละครในแต่ละช่วงเวลาให้คนดูสัมผัสได้ ผ่านทางบรรยากาศ และภาษากาย ในแง่งานภาพและดนตรีก็ถือว่าสามารถทำงานสอดประสานกันได้อย่างพอเหมาะ ภาพสวย ดนตรีดี ช่วยเสริมความแข็งแรงให้หนังได้อย่างน่าชื่นชม
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)