Lost Bullet 2 สานต่อเรื่องจากภาคแรกครับ หลังจากลีโน่ (Alban Lenoir) พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ แต่คนร้ายกลับยังลอยนวล ทำให้ลีโน่ต้องลุยล่าผู้ร้ายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนังมาพร้อมความซับซ้อนครับ ไม่ได้เล่าแบบตรงๆ เล่นง่ายๆ แบบภาคแรกแล้ว ประมาณว่าตัวละครเริ่มมีลับลมคมในต่อกัน ลีโน่เองก็ต้องมาลุยฝ่าดงกระสุน และฝ่าคำโกหกของเพื่อนร่วมงานกันเอง
ถือเป็นภาคต่อที่ทำได้โอเคขึ้นครับ อย่างแรกเลยคือมีการใส่ความซับซ้อนลงไป อย่างวายร้ายจากภาคแรกนั้นไปๆ มาๆ ก็ชักจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังมากขึ้น หรือกระทั่งตัวละครแวดล้อมพระเอกก็ใช่จะบอกพระเอกทุกเรื่อง อันทำให้พระเอกต้องเผชิญวิบากกรรมครั้งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม – ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตัวละครรอบตัวพระเอกค่อยๆ บอกความจริง เรื่องมันอาจไม่บานปลายทะลักทลายขนาดนี้ก็ได้
ส่วนที่ผมชอบมากขึ้นคือคิวบู๊ครับ อย่างที่เคยบอกว่าภาคแรกผมออกแนวเฉย แต่ภาคนี้บู๊ได้สะใจขึ้น ประทับใจตั้งแต่ตอนบู๊ฉากแรกๆ ที่ลีโน่เข้าไปซัดโจรในบ้าน มันเป็นการบู๊ที่ดูดิบ ดูกระหน่ำ และดูสะใจอยู่ในที รวมถึงฉากบู๊อื่นๆ ต่อจากนั้นก็ถือว่าทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะตอนไล่ล่าระเบิดถนนในตอนท้ายน่ะครับ ทำออกมาได้น่าพอใจ สะใจเอาเรื่อง จัดว่ามีพัฒนาการทางด้านความมันส์ครับ
ไหนจะฉากไล่ล่าทางรถก็ทำออกมาได้มันส์เข้าท่าเหมือนกัน เรียกได้ว่าภาคนี้ยกระดับตัวเองจากภาคแรกได้อย่างน่าพอใจครับ บู๊ก็ดีขึ้น ล่ากันก็มันส์ขึ้น เนื้อเรื่องก็ซับซ้อนขึ้น ตัวละครก็นับว่าน่าสนใจ รายที่ผมชอบมากหน่อยก็ขอยกให้อัลวาโร่ (Diego Martín) เพื่อนเก่าของชาราสที่บทของเขานี่สร้างความมันส์และเพิ่มความลุ้นได้พอตัวในตอนครึ่งหลังน่ะครับ
แต่ถ้าถามว่ามีจุดหงุดหงิดไหม ก็สารภาพว่ามีครับ แอบหงุดหงิดตรงเนื้อเรื่องส่วนที่ตัวละครปิดเรื่องกันไปกันมาน่ะครับ ว่ากันตรงๆ เลยคือเรื่องมันอาจไม่บ้าบอเลยเถิดขนาดนี้ถ้าต่างฝ่ายต่างประสานงานกันดีๆ หรือพยายามไม่ตั้งป้อมใส่กัน ตอนต้นๆ ก็พอทำใจได้น่ะครับ แต่พอเห็นมันปิดกันไปบังกันมา คิดปมนี้แต่ลืมปมนั้น เช่นคิดแต่จะปกป้องบางตัวละคร แต่ดันลืมไปว่าตัวละครนั้นจริงๆ มันก็คือคนร้ายและมีมีพิษสงแว้งกัดได้นะ – แล้วก็เป็นเรื่องต่อจนได้ พอมีแบบนั้นบ่อยๆ มันก็อดรำคาญไม่ได้น่ะครับ
ถ้าให้ว่ากันตรงๆ การดูหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเมามันส์สลับหงุดหงิดครับ 555 คือในแง่การบู๊น่ะถือว่าทำออกมาได้เวิร์กอยู่ แต่เนื้อเรื่องที่ตัวละครมาดราม่าหรือปิดบังใส่กันนี่แหละที่ทำให้แอบรำคาญ แต่ก็พอเข้าใจได้น่ะครับ ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเรื่องมันจะจบง่ายเกินไป เดี๋ยวปัญหามันก็ไม่เกิดมาให้พระเอกต้องแก้กันพอดี
ก็แอบคิดในใจครับว่าพระเอกน่าจะออกจากงานซะนะ เลิกทำงานกับตำรวจเถอะ เพราะยิ่งพยายามทำสิ่งถูกต้องก็ดันกลายเป็นผิดใจกับคนอื่นอีก ภาคก่อนโดนตำรวจทั้งโรงพักรุม มาภาคนี้ก็โดนรุมอีก เอะอะก็โดนเบื้องบนสั่งให้จับกุมตลอดๆ – พูดกันตรงๆ ก็คือพี่เขาตามน้ำไม่เป็นน่ะครับ อยู่ไปก็มีแต่เรื่อง แบบนี้ออกมาเถอะครับ พี่อาจเป็นสุขกว่าและอาจทำประโยชน์ให้กับสังคมมากกว่าก็ได้นะ
ดูๆ ไปก็คิด – นี่ไม่รู้ผมเห็นใจพี่เขาหรือเห็นใจบ้านเมืองมากกว่ากันนะเนี่ย – นี่ผมพูดถึงแค่เรื่องหนังเท่านั้นนะครับ แค่เรื่องหนังเท่านั้นจริงจริ๊งงงงงง
และหนังเปิดปมสำหรับภาคต่อได้เต็มๆ ครับ ก็คงต้องติดตามกันต่อไป ก็ขอให้ภาคหน้าพัฒนาขึ้นไปอีกนะครับ เพราะประเด็นน่ารำคาญน่าจะลดลงแล้ว สามารถเข้าเรื่องไล่ล่าบู๊ผ่าโลกกันได้แบบเต็มตัว
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)