MOONFALL – วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก
— 4.6/10 —
หนังหายนะวันสิ้นโลก ที่หายนะจริง ๆ
ไอเดียไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือวิธีนำเสนอ
น่าจะเป็นหนังที่ชอบน้อยสุดของ Roland Emmerich
การกลับมากำกับหนังของ Roland Emmerich เจ้าพ่อหนังภัยพิบัติหายนะล้างโลก ที่เคยฝากผลงานหนังภัยพิบัติเอาไว้มากมาย ทั้ง Independence Day (1996), The Day After Tomorrow (2004), 2012 (2009) รวมถึงหนังแนวอื่น ๆ อยาก Godzilla (1998), The Patriot (2000), White House Down (2013), Midway (2019) ซึ่งคราวนี้เค้าก็กลับมาทำหนังภัยพิบัติอีกครั้ง หนัง High-concept Big Idea อย่าง Moonfall
กับเรื่องราวที่บอกเล่าถึงดวงจันทร์ที่วิถีการโคจรเปลี่ยนไปและมันกำลังจะพุ่งชนโลก เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักบินอวกาศ นักทฤษฏี จึงต้องหาทางหยุดยั้งหายนะในครั้งนี้ก่อนที่จะสายเกินไป และทำให้พวกเขาล่วงรู้ความลับของสิ่งมีชีวิตลึกลับบนดวงจันทร์
นี่น่าจะเป็นหนังของ Roland Emmerich ที่เราชอบน้อยที่สุดแล้วจากทั้งหมดที่เคยดูมา มันมีความเป็นหนังภัยพิบัติเอาชีวิตรอด และเป็นหนัง Sci-fi High-concept ที่ไปไม่สุดสักทางเลย ความเป็น Big Idea ไม่ใช่ปัญหาของหนังเรื่องนี้ เพราะปัญหามันอยู่ที่วิธีการนำเสนอ ในแง่ของความเป็นหนังภัยพิบัติ หายนะที่เกิดขึ้นน้อยมากถ้าเทียบสัดส่วนกับหนังเรื่องก่อน ๆ อย่าง 2012 หรือ The Day After Tomorrow แถมการเอาชีวิตรอดก็จะไม่ค่อยมีฉากให้ลุ้นหรือตื่นเต้นสักเท่าไหร่ คือมีนะแต่น้อยมากจริง ๆ ส่วนทางด้านความเป็น Sci-fi เรื่องราวความลับของดวงจันทร์ก็น่าสนใจชวนสงสัย แต่แทนที่มันจะไปให้สุดล้ำ ๆ ไปเลย กลับเป็นเรื่องราวที่ธรรมดากว่าที่คิดถูกเฉลยเรื่องราวทั้งหมดออกมาผ่านซีนเดียว อยากให้เป็นเหมือนอย่าง Arrival หรือ Interstellar ไปเลย
ครึ่งเรื่องแรกกับหลังเลยต่างกันราวฟ้ากับเหว ครึ่งเรื่องแรกก็ดำเนินเรื่องอืดอาดยืดยาดปูตัวละครกันไป ยิ่งพอถึงพาร์ทที่ขึ้นไปดวงจันทร์ยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่ ไม่สนุกเลยจริง ๆ
มาทางด้านนักแสดง ไล่ไปทีละคนเลย เริ่มตั้งแต่ Patrick Wilson ในบทนักบินอวกาศ ที่ตัวละครไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรสักเท่าไหร่ การตัดสินใจแต่ละอย่างมักจะเป็นการคาดเดา ตามมาด้วย Halle Berry ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายอะไรสักอย่างของ Nasa แต่ตรรกะและวิธีการตัดสินใจอะไรหลายอย่างของเธอไม่ได้กลับดูไม่ใช่บุคคลที่น่าเชื่อถือหรือพึ่งได้เหมือนตัวละคร Wilson เช่นกัน สุดท้าย John Bradley เป็นตัวละครเดียวที่ทำให้หนังดูสนุก ด้วยมุกตลกยิ้มปนหัวเราะหึ ๆ แป้กบ้าง ฮาบ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวละครนี้แหละทำให้หนังมันดูสนุกจริง ๆ แต่บทก็ไม่สามารถนำพาคนดูอย่างเราอยากเอาใจช่วยแต่ละตัวละครเลยสักนิด พอถึงพาร์ทที่มันควรจะอินน้ำตาไหลมันเลยทำให้ความรู้สึกกลายเป็นเฉย ๆ ไปเลย
ทางด้านกราฟิกก็ไม่ได้สวยหรืองดงามจนว้าว ก็มีจุดที่อลังอยู่ แต่บางจุดก็ยังดูลอย ๆ อยู่เหมือนกันโดยเฉพาะในช่วงต้นเรื่องและภัยพิบัติต่าง ๆ
สรุปแล้ว Moonfall เหมือนจะเป็นหนังหายนะที่เกิดกับตัวหนังเองซะอย่างนั้น ใครอยากไปลุ้นระทึกหนี ๆ เอาตัวรอดเหมือนอย่าง 2012 คงจะต้องผิดหวังสักหน่อย และคาดหวังความ Sci-fi จริงจังวิทยาศาสตร์ก็ผิดหวังเช่นกัน ไม่สุดสักทางเลยจริง ๆ