ใครที่คาดหมายว่าหนังเรื่องนี้จะจัดเต็ม Effect กระหน่ำแอ็กชัน อุดมฉากเร้าใจลุ้นระทึกแบบที่หนังแนวภัยพิบัติส่วนใหญ่มักจะเป็นกันล่ะก็ ขอบอกตรงนี้เลยครับว่า Only the Brave ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย
จริงครับที่หนังเรื่องนี้คือแนวภัยพิบัติ แต่หนังไม่ได้ประเคนฉากเสียวไส้เสี่ยงตายมาให้เราชม ตรงข้ามครับ หนังนำเสนอในเชิงดราม่าเป็นหลัก บอกเล่าเรื่องราวของหน่วย Granite Mountain Hotshots ที่หน้าที่ของพวกเขาคือการต่อสู้กับไฟป่าสารพัดชนิด วิธีการต่อสู้ของเขาก็จะไม่เหมือนกับนักดับเพลิงในเมือง งานหลักๆ ของพวกเขาจะเป็นการ “สกัดเพลิง” ครับ
ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีไฟป่าโหมกระหน่ำเข้ามา สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือหาพิกัดทิศทางที่ไฟจะไหม้ลามมา โดยประเมินจากพื้นที่ ทิศทางลม ฯลฯ เมื่อเจอจุดที่ว่าแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะดำเนินการจุดไฟเผาจุดนั้นเสียให้ราบ เพื่อตัดเส้นทางไฟที่จะลาม ทำให้พื้นที่ตรงนั้นไหม้จนเหลือแต่พื้นดินเปล่าๆ และพอที่ตรงนั้นไม่มีต้นไม้เหลือให้ไฟมันไหม้ต่อ ไฟที่กระหน่ำก็จะหยุดลงตรงนั้น เท่านี้ก็เป็นอันจบภารกิจ (แต่กว่าจะทำได้แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อยครับ)
หนังพาเราไปรู้จักกับคนในทีมที่นำโดย เอริค มาร์ช (Josh Brolin) หัวหน้าทีมที่ทุ่มเทให้กับงานแบบเกินร้อย และคนที่เพิ่งเข้าทีมมาใหม่อย่าง เบรนแดน (Miles Teller) ที่ตั้งใจทำงานนี้เพื่อตั้งหลักปักฐานให้ตัวเอง หลังจากก่อนหน้านี้ทำตัวลอยไปลอยมา ไม่เป็นโล้เป็นพายเสียนาน (สิ่งที่ทำให้เขาคิดได้ก็เพราะเขาเพิ่งมีลูกสาวครับ)
ยอมรับครับว่าตอนแรกผมก็คิดเหมือนกันว่าหนังน่าจะมาในแนวทางที่หนังแนวนี้มักจะเป็น คือพาเราไปร่วมผจญภัยกับทีมผจญเพลิง มีเหตุการณ์เสี่ยงตายชวนลุ้นมาเสิร์ฟให้เราตื่นเต้นเป็นระยะ แต่เปล่าครับ ไม่ใช่เลย เพราะหนังเน้นหนักไปที่เรื่องราวชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าจะการพิสูจน์ตัวเองให้หน่วยเหนือตระหนักถึงความสามารถ หรือเรื่องชีวิตส่วนตัวที่แต่ละคนก็จะมีปมของตัวเอง อย่างเอริคก็ประสบปัญหาชีวิตรัก เนื่องจากเขาทุ่มเทให้งานมากจนมีเวลาให้กับคนรัก (Jennifer Connelly) น้อยลงเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดรอยร้าวตามมา
หรือตัวเบรนแดนเองที่ตอนแรกก็เอาแต่สำมะเลเทเมา เล่นยาบ้างอะไรบ้าง ไม่คิดจะทำงานจริงจัง แต่พอได้รู้ว่าตัวเองมีลูกเขาก็คิดเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ซึ่งก็พอดีที่เขาตัดสินใจเข้าหน่วยของเอริคครับ ซึ่งที่นั่นนอกจากเขาจะได้เรียนรู้งานดับเพลิงแล้ว เขายังได้เรียนรู้วิชาชีวิตจากเพื่อนร่วมทีม อันทำให้เขาเข้มแข็งและเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นตามลำดับ
ถ้าถามว่าหนังสนุกไหม? คำถามสำคัญก็คงต้องถามตัวเองก่อนน่ะครับว่าชอบหนังแนวชีวิตไหม เพราะนี่ไม่ใช่หนังวิ่งหนีภัยพิบัติทุนสูงแบบที่ฮอลลีวู้ดชอบทำออกมา แต่นี่คือการนำเอาเรื่องจริงบทหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นบนแผ่นดินอเมริกามาบอกเล่าให้เราได้รู้ถึงวีรกรรมของหน่วย Granite Mountain Hotshots ที่ช่วยปกปักษ์และพิทักษ์แผ่นดินของพวกเขาแบบมอบกายถวายชีวิต แต่แม้พวกเขาจะช่วยเหลือชาวเมืองและผืนแผ่นดินเอาไว้ก็ตาม ทว่าการทำเช่นนั้นก็ทำให้พวกเขาต้องแลกด้วยความสุขส่วนตัว และชีวิตครอบครัว (แบบเดียวกับคนที่ทุ่มเทในงานมากๆ มักจะต้องเจอ)
สำหรับผมแล้ว ผมชอบครับ… โอเค ตอนต้นๆ อาจจะมีวาระอืดเอื่อยอยู่บ้าง ในช่วงแนะนำตัวละคร (ตามสไตล์ของหนังแนวนี้) แต่พอดูไปเรื่อยๆ แล้วพลังดาราจะค่อยๆ ดึงเราเข้าสู่เรื่องราวครับ จะค่อยๆ ทำให้เราอิน เพราะแต่ละคนแสดงกันได้ดีทั้งสิ้น ซึ่งก็ต้องชมคนแคสติ้งด้วยที่คัดดาราระดับคุณภาพมา ไม่ว่าจะ Brolin, Teller, Connelly, Jeff Bridges, James Badge Dale, Taylor Kitsch และรายอื่นๆ ที่ผมอาจไม่คุ้นชื่อแต่ทุกคนก็ทำให้เราเชื่อครับว่าพวกเขาคือทีมนักผจญเพลิงที่ทุ่มเทจริงๆ และคนในทีมก็ปฏิบัติต่อกันแบบเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องกันจริงๆ แล้วพอดูไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกผูกพันกับพวกเขามากขึ้นตามลำดับ
ของดีของหนังจึงอยู่ที่การแสดงดีๆ ในขณะที่ฉากไฟไหม้นั้นเอาเข้าจริงมีไม่เยอะครับ แต่ละฉากก็ไม่ได้ชวนลุ้นรุนแรงอะไร แต่ยอมรับว่าถ่ายภาพออกมาสวยครับ ไม่ว่าจะฉากไฟไหม้หรือช็อตมุมกว้างที่แสดงให้เห็นถึงผืนดินที่พวกตัวเอกต้องปกป้อง ดูสวย งดงาม และอลังการดีทีเดียว ซึ่งก็ต้องขอชื่นชมผู้กำกับภาพ Claudio Miranda ที่เคยได้ออสการ์ไปจาก Life of Pi แล้วก็ถือได้ว่าเขาเป็นทีมงานคู่บุญของผู้กำกับ Joseph Kosinski ไม่ว่าจะ Tron Legacy, Oblivion แล้วล่าสุดก็ตามไปร่วมงานกันใน Top Gun: Maverick ด้วยครับ
จนถึงนาทีนี้ ผมยกให้นี่เป็นงานกำกับที่ดีที่สุดของ Kosinski ผลงานที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะดูเด่นในงานภาพมากกว่าการเล่าเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองครับว่าเขาสามารถเล่าเรื่องดราม่าที่ดู Real ดูติดดิน และทำให้คนดูอินตามไปด้วยได้ แม้อาจจะไม่ถึงกับยอดเยี่ยมมากๆ จนถึงขนาดไร้ที่ติก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาทำให้เรารู้สึกได้ว่าคนในทีมดับเพลิงต่างก็มีเลือดมีเนื้อ มีหัวใจ และมีความรู้สึกทั้งกล้าและกลัวเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาเดินดิน โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์น่ะครับ ยอมรับเลยจริงๆ ว่าบีบหัวใจมากๆ และฉากที่ว่านี่สามารถเนรมิตภาพของไฟป่าได้อย่างน่าขนลุก พูดตรงๆ เลยก็คือแม้หนังเรื่องนี้อาจมีฉากไฟป่าไม่เยอะ แต่เอาแค่ฉากนี้ฉากเดียวนี้ก็เกินพอแล้วครับ แค่ฉากเดียวก็นิยามความน่ากลัวของไฟป่าได้อย่างสุดยอดแล้วล่ะ – ฉากเดียวพอจริงๆ
สรุปว่าเป็นหนังภัยพิบัติที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งครับ ดีในที่นี้คือดีในเชิงอารมณ์ ดีในเชิงดราม่า ที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงวีรกรรมของคนกล้าที่ต้องเสียสละอย่างมากมายเพื่อทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง หนังอาจจะไม่ได้มาพร้อมฉากหวือหวา Effect หนาตา แต่หนังสามารถจับหัวใจเราไปเขย่าได้สำเร็จเมื่อเรื่องดำเนินถึงช่วงท้าย
แม้ท่านจะไม่ชอบหนังดราม่า แต่ก็อยากให้ลองดูนะครับ เพราะเรื่องราวของนักดับเพลิงทีมนี้ ควรค่าแก่การรับรู้และรับชมสักครั้งจริงๆ… เชื่อผมเถอะ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)