ดูแล้วสมหวังจริงๆ ครับสำหรับ Pixels
คือที่ว่าสมหวังนี่ไม่ได้หมายความว่าหนังเยี่ยมยุทธ์สุดติ่งอะไรหรอกนะครับ คือประมาณความหวังไว้แต่แรกแล้วว่ามันคงดูได้เพลินๆ แต่ไม่ได้เจ๋งหนับอะไรมากมายหรอก คือแค่พอขำๆ แล้วก็มีตัวละครจากเกมที่เราชอบเมื่อสมัยเด็กมาให้ได้เห็น แค่นี้ก็พอครับ (ไม่หวังว่ามันจะสนุกเป็นล้นพ้นอะไร 5555)
พล็อตก็อย่างที่รู้ครับ พวกต่างดาวบุกโลกโดยใช้ตัวละครจากเกมในยุค 80 อย่าง Galaga, Pacman, Centipede ฯลฯ มาท้าประลองกับเรา ทีนี้ท่านประธานาธิบดีคูเปอร์ (Kevin James) เลยต้องตามซี้เก่าเซียนเกมอย่างเบรนเนอร์ (Adam Sandler) ให้มาช่วยรับมือ
หนังทำออกมาเอามันส์และเอาเพลินครับ ซึ่งก็เป็นแบบฉบับของหนังพี่ Adam ในยุคหลังๆ นี่แหละ ตั้งแต่ Jack and Jill เป็นต้นมา พี่แกก็มีหนังทำออกมาเน้นฮาแต่ไม่เน้นอย่างอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ (อาจเว้น Blended ไว้ เพราะทำออกมากลมกล่อมกว่าเค้าเพื่อน) และกับเรื่องนี้ก็สไตล์นั้นแหละครับ เนื้อเรื่องผูกง่ายๆ เล่าแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือเข้าใจยาก จะเรียกว่าเป็นหนังสำหรับทุกคนในครอบครัวก็พอได้น่ะครับ
ส่วนการต่อกรกับตัวละครในเกมก็ถือว่าพอเพลิน แต่ก็ไม่ได้ลุ้นจัดหรือมันส์อะไรมาก โดยส่วนตัวแล้วผมว่าหนังจะมามันส์มาลุ้นจริงๆ ก็ตอนท้ายน่ะครับ เมื่อพวกต่างดาวลุยแบบเต็มขั้น ตอนนั้นเราก็จะได้เห็นสารพัดตัวละครจากเกมที่คนวัย 30 ขึ้นไปต้องจำได้ไม่มากก็น้อย แต่ที่บอกว่าลุ้นนั้นก็ไม่ได้ลุ้นแบบลืมหายใจนะครับ เพียงแต่จัดว่าลุ้นขึ้นกว่าตอนกลางๆ และจัดเป็นช่วงที่ลุ้นสุดๆ แล้วล่ะ
แล้วที่ขาดไม่ได้เลยก็คือนางเอกครับ ที่ต้องถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ได้ลงเอยกับพี่ Adam ในท้ายที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้สาวสวย Michelle Monaghan มารับบทไวโอเล็ต ซึ่งอย่างหนึ่งที่ไว้ใจได้เสมอในหนังของพี่ Adam ก็คือ นางเอกมักมีชื่อและหน้าตาดีครับ
อ้อ และที่ขาดไม่ได้อีกอย่างในหนังของพี่ Adam ระยะหลังๆ คือจะต้องมีตัวละครสาวสวยที่เห็นปุ๊บขโมยซีนปั๊บ (บางทีก็ขโมยใจหนุ่มๆ ไปด้วย) ซึ่งมักจะเป็นดาราหน้าใหม่หรือไม่ก็หน้าเก่าแต่ยังไม่ได้แจ้งเกิดบนจอใหญ่แบบเต็ม และกับเรื่องนี้ เธอคนนั้นก็คือ Ashley Benson ครับ (คอซีรี่ส์น่าจะคุ้นเธอจากบทแฮนน่าใน Pretty Little Liars) ก็เชื่อว่าหนุ่มๆ หลายคนน่าจะจำเธอได้แม่นขึ้นล่ะครับคราวนี้ 555
ผมดูหนังเรื่องนี้ด้วยใจแบบเบาๆ ครับ ใจจริงคืออยากไปเห็นพวกแพ็คแมน ดองกี้คอง และเกมที่ผมเคยเล่นน่ะแหละ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธนะว่าหนังมีภาพและมีฉากมากมายที่เกี่ยวกับเกมเหล่านั้น แต่ประเด็นคือผมรู้สึกว่า ผม “เห็น” เพียงภาพครับ แต่ไม่ได้สัมผัสถึงอารมณ์หรืออะไรที่ชวนให้รำลึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยนั่งกดเกมแบบลืมกินข้าว, ดีใจแทบตายถ้าน็อกเกมสักเกมหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นเราจะรู้สึกเหมือนตัวเองสูงขึ้นหลายนิ้ว ก่อนจะบอกกับเพื่อนว่า “ฉากจบเกมที่ว่านั้นเป็นอย่างไร” (อารมณ์มันประมาณฮีโร่น่ะครับ 555)
ไปๆ มาๆ ผมว่า Scott Pilgrim vs. the World ทำให้ผมนึกถึงวันเก่าๆ ได้มากกว่าเรื่องนี้อีกนะเนี่ย ^_^
แต่ก็นั่นแหละครับ บอกแล้วว่าไม่คาดหวังมากกับหนังเรื่องนี้ แต่ก็แอบใจหายเหมือนกันนะ เพราะหนังกำกับโดย Chris Columbus ที่เคยทำให้ผมตรึงใจกับ Home Alone, Mrs. Doubtfire และ Bicentennial Man (ส่วน Harry 2 ภาคแรกก็โอเค แต่ไม่ถึงกับชอบจัดๆ) พอมาเรื่องนี้รู้สึกว่าหนังออกมาธรรมดา ไม่มีความพิเศษอะไรเท่าที่ควร
และเอาเข้าจริงๆ ถ้าจะบอกว่าผมไม่คาดหวังเลย ก็คงเป็นเรื่องโกหกน่ะครับ เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังชอบหนังเรื่องเก่าๆ ของพี่ Adam ไม่ว่าจะ Happy Gilmore, The Wedding Singer, Big Daddy, Click, 50 First Dates และ I Now Pronounce You Chuck & Larry ไม่ใช่เพราะมันขำอย่างเดียวนะครับ แต่เพราะมันมีแง่มุมน่ารักๆ มีความอบอุ่น มีอารมณ์ฟีลกู๊ดผสมอยู่ ซึ่งนับวันมันก็ชักจะจืดจางลงเรื่อยๆ อย่างน่าเสียดาย
แต่ก็ยังดีครับทีหนังก็มีการพูดถึงเกมบ้าง เช่นตอนเบรนเนอร์คุยกับแมทตี้ (Matt Lintz) แล้วก็มีการสะท้อนแง่มุมว่าเกมว่ามันเต็มไปด้วยความรุนแรง ก็ถือเป็นการจับประเด็นที่น่าคิดเหมือนกัน (แต่หนังก็ไม่ได้เล่นอะไรต่อมากกว่านั้น)
เอาเถอะครับ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากดูหนังเพลินๆ เบาๆ แบบไม่คิดมากก็ลองลิ้มได้เลยครับ ขอเพียงไม่คาดหวัง ก็น่าจะพอเพลินนะ ^_^
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5.5/10)