อยากบอกเลยครับว่าหนังเรื่องนี้ของเขาดีจริงๆ คุ้มค่าแก่การดูมากๆ
บอกตรงๆ ว่าผมดองหนังเรื่องนี้ไว้นานมากๆ ครับ คือว่าจะดูๆ แต่ก็ไม่เอามาดูสักที เหตุผลสำคัญเลยก็เพราะหนังจัดว่ายาวครับ ตั้ง 2 ชั่วโมงครึ่งแน่ะ ยอมรับว่าเจอความยาวระดับนี้ใจมันเลยบอกผ่านมาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้พอได้ดูนี่แทบอยากจะย้อนเวลาไปบอกตัวเองเลยครับว่า “หนังยาว 2 ชั่วโมงครึ่งก็จริง แต่เป็น 2 ชั่วโมงครึ่งที่คุ้มค่ามาก”
หนังไม่น่าเบื่อเลยครับ ความน่าติดตามนี่มีตลอด โอเคครับ ตอนต้นๆ ช่วงปูพื้นเล่าเหตุการณ์อาจเรื่อยๆ บ้าง แต่ไม่ถึงสิบนาทีหนังก็เข้าเรื่องเข้าประเด็นครับ และตั้งแต่หนังเข้าเรื่องความน่าติดตามก็ไหลมาเทมา ไหลยาวไปจนจบเลย
เรื่องราวว่าด้วยเด็กหญิง 2 คนหายไปครับ เป็นไปได้ว่าพวกเธอถูกลักพาตัว ทำให้เคลเลอร์ (Hugh Jackman) หนึ่งในพ่อของเด็กที่หายไปร้อนใจเป็นที่สุด ยิ่งเวลาผ่านไปใจมันก็รุ่มร้อน จนเขาตัดสินใจจะสืบหาลูกด้วยตนเองโดยไม่สนว่าวิธีนั้นจะถูกกฎหมายหรือล้ำเส้นศีลธรรมแค่ไหนก็ตาม ในขณะที่ตำรวจนักสืบนามว่าโลกิ (Jake Gyllenhaal) ก็พยายามตามร่องรอย และขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยในพฤติกรรมบางอย่างของเคลเลอร์ด้วย ส่วนเรื่องที่เหลือจะเป็นอย่างไรก็หาคำตอบได้ในหนังนะครับ
หนังเรื่องนี้ผมคารวะผู้กำกับ Denis Villeneuve เลยครับ เขาคุมหนังได้ดีมากๆ อย่างที่บอกครับแม้ว่าหนังจะยาว แต่ไม่มีความน่าเบื่อเลย เรื่องราวเดินไปเรื่อยๆ เหมือนนิยายที่เปิดอ่านไปทีละหน้า โดยที่แต่ละหน้ามันจะมีปมมีอะไรให้เราสนใจติดตามไปตลอดและมีของดีมาเสิร์ฟเราอยู่ตลอด ไม่ว่าจะการแสดงดีๆ ของเหล่าดารา ทั้ง Jackman และ Gyllenhaal เล่นได้ดีมากครับ แค่ดู 2 คนนี้ก็คุ้มแล้วล่ะ ไหนจะมี Viola Davis, Maria Bello, Terrence Howard, Melissa Leo, Paul Dano พวกเขาผลัดกันขึ้นจอมาเสริมความเด่นให้กับหนังได้เป็นอย่างดี
ผมชอบที่หนังเรื่องนี้เครียดในระดับที่พอเหมาะครับ เพราะจริงๆ ถ้าดูจากเนื้อเรื่องแล้วมันเครียดนะครับ เด็กหายตัวไปนี่ถือเป็นประเด็นที่หนักพอที่จะทำให้คนดูเครียดกับสถานการณ์เอาได้ง่ายๆ แต่ Villeneuve เลือกจะนำเสนออย่างพอเหมาะครับ คือถ้าถามว่าเครียดไหมก็ตอบได้ว่าเครียดอยู่พอตัว แต่อยู่ในระดับ “ตึงเครียด” (เครียดแบบบรรยากาศพอตึงๆ) ไม่ถึงกับ “เคร่งเครียด” (เครียดมาก เคร่งมาก หนักมา) ซึ่งผมมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังสามารถดูได้แบบไปเรื่อยๆ จนจบครับ เพราะถ้าหนังถึงขั้นเคร่งเครียดมากไปล่ะก็ คนอาจหยุดดูก็ก่อนจบ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ได้ หรืิอไม่ต่อให้ดูจบก็อาจไม่รู้สึกอยากจะเอ่ยชื่นชมหนังก็ได้
ความพอเหมาะพอดีถือเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีผลลัพธ์ที่กลมกล่อมลงตัวและน่าจดจำ ดาราแสดงกันได้ดี เรื่องราวดำเนินด้วยจังหวะที่กำลังดี ไม่เร็วเกินและไม่ช้าเกินไป อีกทั้งจังหวะการตามปม การเผยปมก็ถือเป็นส่วนช่วยเสริมให้กราฟความน่าสนใจของหนังคงที่ตั้งแต่เริ่มจนจบ นอกจากนี้งานฉากก็น่าจดจำครับ ส่วนใหญ่หนังถ่ายทำกันที่จอร์เจียท่ามกลางบรรยากาศที่ดูแห้งๆ หนาวๆ เสริมอารมณ์โดดเดี่ยวและความหวังริบหรี่ให้กับหนังได้อย่างน่าปรบมือ
แล้วก็แน่นอนว่าฉากดีๆ ย่อมไม่อาจขึ้นกล้องอย่างเหมาะเจาะได้หากผู้กำกับภาพมือไม่แม่นล่ะก็ แต่กับเรื่องนี้หายห่วงครับ Roger Deakins คุมงานภาพได้ดีจนได้เข้าชิงออสการ์มาเป็น 10 หน (รวมถึงเรื่องนี้ก็ได้เข้าชิงด้วย) แต่ละฉากนี่ถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศได้ดีจริงๆ และอีกหนึ่งสิ่งที่ลืมไม่ได้คือดนตรีประกอบของ Jóhann Jóhannsson ที่เข้ากับภาพบนจอพอดิบพอดี แต่ก็น่าเสียดายครับที่เขาได้จากโลกนี้ไปเมื่อปี 2018 ก็ต้องขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ครับ
ครับ อย่างที่บอกว่าความพอเหมาะพอดีคือพลังสำคัญที่ทำให้หนังออกมาลงตัวแบบนี้ และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ “ประเด็นความพอเหมาะพอดี” นั้นก็ถูกแทรกอยู่ในหนังด้วยเช่นกัน อย่างตัวละครเคลเลอร์ คุณพ่อที่พยายามตามหาลูกนั้นหลายครั้งทีเดียวครับที่เขาล้ำเส้น ทำอะไรเกินเลยความพอดีจนแทนที่จะทำให้คดีมีความคืบหน้าก็กลับทำให้เสียเรื่อง หรือไม่แทนที่ตำรวจจะมุ่งโฟกัสไปที่การหาตัวคนร้ายอย่างเดียว ก็ต้องมาเป๋ไปอันเนื่องมาจากสิ่งที่เคลเลอร์ทำ
แล้วที่หนักสุดคือการล้ำเส้นไม่คิดหน้าคิดหลังของเขา หลายครั้งก็นำอันตรายมาสู่ตนเองและผู้อื่นด้วย
ในมุมหนึ่งก็เข้าใจเคลเลอร์ครับ ลูกหายทั้งคนจะให้นั่งทำจิตนิ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นเราเองเราก็ต้องร้อนใจและพยายามจะตามหาลูกให้เจอในทุกวิถีทางเช่นกัน แต่หนังเรื่องนี้ก็สะท้อนให้เราเห็นน่ะครับ ว่าการกระทำที่เกินขีดความเหมาะนั้นมันสร้างปัญหาอะไรตามมาได้บ้าง และหนังก็เตือนว่าเราควรมีสติเพื่อที่เวลาจะทำอะไรก็ตามจะได้ทำอย่างถูกต้อง ทำในแบบที่ทำแล้วได้ประโยชน์ได้ความคืบหน้ามา ไม่ใช่ทำแล้วก่อปัญหาขึ้นมาแทน
ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นครับว่าสิ่งที่เคลเลอร์ทำด้วยอารมณ์หรือทำเกินลิมิตนั้นมักจะสร้างผลร้ายตอบแทนกลับมา ในขณะที่การกระทำที่นิ่งๆ เรียบๆ มีสติและไม่ทำด้วยอารมณ์มากเกินไป การกระทำเหล่านั้นต่างหากที่มักจะทำให้เขาได้คำตอบอะไรบางอย่างกลับมา (ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว)
แต่ก็เข้าใจครับ ตอนเราเขียนเราพูดที่ตรงนี้มันก็ง่ายน่ะแหละ ครั้นพอเราเจอปัญหาจริงๆ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะตั้งสติได้ดีขนาดนั้น แต่อย่างน้อยมันก็ไม่เลวนะครับหากเรื่องราวที่หนังนำเสนอจะเตือนสติให้กับเราได้
และอีกอย่างคือบทสรุปตอบจบครับ หนังจบลงอย่างพอเหมาะพอดีอีกเช่นกัน ต้องจบแบบนี้แหละถึงจะทำให้หนังน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
ถือเป็นหนังแนวดราม่าสืบสวนที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ครับ เนื้อเรื่องซับซ้อนกำลังดี การเผยปม-ตามปมก็วางจังหวะได้น่าติดตาม ดาราแต่ละคนก็มาเสริมความเยี่ยมให้กับหนัง อีกทั้งด้านฉาก ด้านดนตรี ด้านมุมกล้องถือว่าสอดประสานกันจนทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งหนังที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆ ครับ
สามดาวครับ
(8/10)