Rosewood Lane (Victor Salva / USA / 2011)
ในฐานะหนังลึกลับซ่อนเงื่อนเขย่าขวัญดีๆทั่วไป Rosewood Lane อาจไม่ใช่คำตอบ สำหรับหลายคนมันคงเป็นแค่หนังเกรด C+ ลงไป จนกระทั่ง F หรืออาจแย่กว่านั้น แต่มันมีมุมดีๆในการให้ประสบการณ์ทางภาพยนตร์ที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เคยดูมา เป็นความสนุกโปรดปรานจากความผิดพลาดของหนัง ด้วยเอกลักษณ์และตัวตนบางอย่างของคนทำที่สื่อออกมามันสนุกบันเทิงในแบบที่ไม่ค่อยได้สัมผัสจากหนังเรื่องอื่นๆ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นหนังเกรด A สำหรับคนดูบางคนได้เหมือนกัน
ไม่เคยดูตัวอย่างหนังมาก่อนรวมถึงไม่เคยลิ้มรสงานหนังของผู้กำกับ Victor Salva เลยไม่รู้ว่าหนังจะมาไม้ไหน อีกทั้งยังจำหน้าตานักแสดงไม่ได้แม้แต่คนเดียว แต่เข้าไปดูเพราะเป็นแนวหนังเขย่าขวัญที่น่าจะสร้างความบันเทิงได้ไม่ยาก
เรื่องราวของ ซอนนี่ เบลค นักจิตวิทยาสาวซึ่งในอีกบทบาทหนึ่งเธอเป็นนักจัดรายการวิทยุให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตกับคนฟังซึ่งมีไม่น้อยที่ติดตามเธอ รวมถึงผลงานหนังสือที่เธอเขียนจากความทรงจำด้านลบในอดีตระหว่างเธอกับพ่อขี้เมา มี พอลล่า เพื่อนเลสเบี้ยนสาวผิวสีของเธอทำงานอยู่ด้วย ซอนนี่กลับมาอยู่ที่บ้านเกิดในถนน Rosewood Lane หลังจากที่พ่อของเธอตายด้วยอุบัติเหตุที่มีเงื่อนงำภายในห้องใต้ดินในบ้าน และซอนนี่ก็ต้องเผชิญหน้ากับ ดีเรค เด็กส่งหนังสือพิมพ์ผู้มีนัยน์ตาดำน่าหวั่นกลัวที่เพื่อนบ้านวัยชราของเธอมั่นใจว่าดีเรคคือซาตานในร่างมนุษย์ที่เป็นคนฆาตกรรมพ่อของเธอ ซอนนี่ได้รับการช่วยเหลือจาก บาร์เร็ต แทนเนอร์ อัยการหนุ่มที่กำลังคบหากับเธอ รวมถึงบริกส์นายตำรวจใหญ่ในการสืบคดีและหาตัวคนร้ายที่แท้จริงให้ได้ แต่ทว่าไม่มีใครเชื่อซอนนี่ว่าดีเรค เด็กส่งหนังสือพิมพ์วัยเยาว์จะเป็นคนร้าย ซอนนี่จึงต้องหาหลักฐานและพยานยืนยันด้วยตัวเอง
หนังเริ่มเคลื่อนกล้องด้วยวิธีที่ทำให้นึกถึงบรรยากาศแบบที่เคยเห็นในซีรีส์ฝรั่งทางโทรทัศน์ด้วยฉากที่ซอนนี่กลับมาบ้านขณะที่นายตำรวจบริกส์กับพนักงานกำลังเก็บหลักฐานชันสูตรการตายของพ่อขี้เมาของเธออยู่ชั้นใต้ดิน หนังเริ่มมีความน่ากลัวและลึกลับด้วยความพยายามเล่นช็อตกับจังหวะแฟลชถ่ายภาพศพ และสร้างความเศร้าด้วยการการตัดกลับมาที่ใบหน้าอันเศร้าของนักจิตวิทยาสาว ความประดิษฐ์ต่างๆเหล่านี้ทำให้เริ่มรู้สึกมันซ้ำซากและไม่ไว้ใจหนังว่ามันจะเป็นหนังที่จะสนุกระทึกได้ขนาดไหน
และด้วยความที่เป็นหนังทุนต่ำทำให้การถ่ายช็อตมุมสูงให้เห็นสะพานทั้งสะพาน หรือเมืองทั้งเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก มีช็อตที่ว่าอยู่สองครั้งในเรื่องที่เบลออย่างเห็นได้ชัดจนสงสัยว่าอาจเป็นเพราะนกบินผ่านเฮลิคอปเตอร์แล้วฉี่ราดลงมาบนหน้าเลนส์ขณะถ่ายทำ แต่โปรดิวเซอร์ไม่ได้สำรองงบประมาณไว้สำหรับผ้าเช็ดเลนส์ชั้นดีที่พอจะขจัดฉี่นกออกไปได้หมดจด ซึ่งจริงๆแล้วคงเป็นฟุตเตจที่ซื้อมาใช้แบบถูกๆกระมัง
แน่นอนว่าไม่มีดาราดังที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมาดึงดูดคนดู มีเพียง Lin Shaye ในบทไม่สำคัญ ซึ่งเป็นคนเดียวที่เคยเห็นผ่านตามาบ้างจาก Insidious ทั้งสองภาคของ James Wan แต่ยังดีที่มันยังมีความน่าสนใจของมันอยู่ในลักษณะที่มันคล้ายซีรีส์สืบสวนสอบสวนฮอลลีวูดที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ ทั้งบรรยากาศ การกำกับและการแสดงที่เรารู้สึกได้ ซึ่งถูกพามาอยู่บนจอภาพยนตร์ในระยะเวลาแบบหนังฉายโรง มันน่าจะเกิดประสบการณ์ใหม่กับการดูชมได้ไม่น้อย นอกจากนั้นยังเริ่มเห็นเค้าความซ้ำซากที่คาดหวังว่าจะก่อเกิดความแปลกประหลาดหวาดเหวอ ซึ่งอาจสามารถทำให้จากมุมหนึ่งที่เป็นหนังห่วยๆ กลับขึ้นมาบันเทิงได้แบบไม่มีลิมิตความคาดหมาย และเริ่มแน่ใจมากขึ้นนับตั้งแต่หนังเลือกใช้ช็อตยืนยันสถานที่หรือข้ามผ่านเวลาด้วยป้ายชื่อถนน Rosewood Lane มากกว่าสามครั้งคล้ายว่าเป็นกฎข้อบังคับของคณะปฏิวัติที่จำต้องปฏิบัติตาม มิเช่นนั้นจะถูกสั่งห้ามฉาย จนต้องขำออกมา
เรื่องดำเนินไปเรื่อยขณะเดียวกับที่รายละเอียดหลายอย่างที่ปูพื้นมาในแต่ละช่วงเริ่มขาดหาย บางอย่างถูกตอกตะปูติดพื้นไว้แน่น แต่บางอย่างประกอบติดด้วยกาวลาเท็กซ์เพื่อรอเวลาล่อนและหลุดหายไปในที่สุด จนอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้กำกับหรือคนเขียนบทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพักผ่อนไม่เพียงพอขณะถ่ายทำจนหลงลืมหรือไม่ แต่ก็มีลูกเล่นหลายอย่างที่หนังใช้เล่าทั้งเหตุการณ์และพัฒนาการตัวละครได้น่าสนใจ เช่น การสลับที่ของตุ๊กตาในบ้านซึ่งเป็นเหตุเริ่มต้นที่ซอนนี่สงสัยว่ามีคนแอบเข้ามาในบ้าน อีกทั้งตำแหน่งของตุ๊กตาแต่ละตัวยังเป็นตัวแทนของตัวละครแต่ละตัวด้วย แต่มันก็หลุดลอยไปในที่สุด
(เริ่มสปอยล์) คำปรึกษาจากเพื่อนจิตแพทย์ให้นางเอกซึ่งเป็นจิตแพทย์ไปพบจิตแพทย์เพื่อให้คำปรึกษาเพราะสงสัยว่าซอนนี่อาจมีปัญหาทางจิตใจ ซึ่งมันเกี่ยวโยงกับเบื้องหลังชีวิตและความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างซอนนี่กับพ่อขี้เมา และเทียบเคียงซาตานในร่างเด็กส่งหนังสือพิมพ์ กับปีศาจความเคียดแค้นในใจของซอนนี่ที่มีต่อพ่อได้ดี เช่นเดียวกับแมวที่ซอนนี่ซื้อมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนที่ตั้งชื่อว่า มอนสเตอร์ สัตว์ประหลาดเพื่อนยากที่นำพาความตายที่แสนเวทนามาให้พอลลี่ แต่สุดท้ายคนทำก็มิได้นำพาส่วนดีๆเหล่านี้มาใส่ใจสักเท่าไหร่ ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้คุ้มค่าในการสื่อนัยสำคัญเท่าที่มันสามารถทำได้ดีกว่านี้
ส่วนซึ่งช่วยสร้างอุปสรรคและบรรยากาศเขย่าขวัญได้ดีคือ การใช้ลูกเล่นของรายการวิทยุให้คำปรึกษาปัญหาได้มีประโยชน์ มันอาจจะซ้ำซากเพราะเคยเห็นมาจากหนังเรื่องอื่นมาแล้ว แต่เพลงกล่อมเด็กที่นอกจากตัวร้ายใช้ขับกล่อมสร้างอารมณ์หลอนระทึกแล้ว มันยังบอกใบ้รายทางปูพื้นปริศนาให้น่าติดตาม และความกลัวที่แคบจากความทรงจำฝังใจในวัยเด็กของบาร์เร็ตต์ อัยการแฟนหนุ่มของซอนนี่ ซึ่งตอนท้ายเอามาใช้ได้ดีในฉากไคลแม็กซ์ ถึงแม้มันจะกระท่อนกระแท่นก็ตาม
ทำให้โดยรวมแล้วมันเหมือนย่อส่วนมาจากบทซีรีส์แล้วเก็บมุกไว้เยอะจนรายละเอียดบกพร่อง ส่วนหนึ่งมาจากการให้ซีนตัวละครและเหตุการณ์หลายอย่างไม่สมดุลกัน ทำให้ความเป็นหนังสืบสวนสอบสวนและเขย่าขวัญไปไม่ถึงฝั่งอย่างหนังแนวนี้ซึ่งเป็นที่นิยมทั่วไป แต่บางอย่างที่เป็นแกนสำคัญยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ เช่น ตัวตนที่แท้จริงของเด็กส่งหนังสือพิมพ์ก็ถูกผลักดันให้เป็นปริศนาต่อไปเพื่อให้ตัวละครค้นหาความจริงซึ่งส่วนนี้เชื่อมโยงกับเหตุการตายของพ่อซอนนี่ แต่ถึงอย่างนั้นความบันเทิงในความผิดพลาดกลับพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ
การทำตัวเป็นหนังฉายโรงเริ่มสนุกมากขึ้นในจุดที่คิดว่าคนทำไม่ตั้งใจให้สนุก ร่องรอยรายละเอียดที่ไม่ถูกเติมเต็มกลายเป็นเกิดพื้นที่ให้คนดูแบบผมตั้งคำถามเชิง WTF และจินตนาการถึงความผิดแปลกของสถานการณ์ที่ตัวละครพาไปได้สนุกสนานและตั้งหน้าตั้งตาเสพความคัลท์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องที่ตะลุมบอนมากๆ เป็นการรวมตัวของความจริงจังและความไร้สาระได้เข้าน้ำเข้าเนื้อมากๆ เมื่อดีเรคบุกรุกบ้านของซอนนี่จนตำรวจต้องอาศัยหน่วยสวาทหลายนายมาบุกจับกุม แม้ว่าคนทำจะขึงขังในจังหวะจะโคนการเล่าให้ลุ้นตระหนกตกใจภายใต้ความตึงเครียดของตัวละครให้เห็นสถานการณ์คับขันสำคัญเท่าชีวิตสักเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นความขบขันให้คนดูหัวเราะร่าด้วยความบันเทิงเริงใจ เพราะตรรกะเล็กน้อยบางประการที่รู้สึกก้ำกึ่งระหว่างสร้างมาเพื่อความสมจริงกับความขบขัน ในความรู้สึกประมาณว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ชิงตัวประกันจากคนคลั่งยาบ้ากลางถนน แต่พอดีรถไอศกรีมเนสท์เล่วิ่งผ่านมาพาเสียงเพลงน่ารักชักชวนให้ซื้อกินคลายร้อนเป็นระยะๆ เป็นดนตรีประกอบขัดแข้งอารมณ์อยู่เบื้องหลังโดยที่เราไม่แน่ใจว่าคนทำตั้งใจหรือเปล่า
ซอนนี่เธอกล้าหาญและฉลาด(ในบางครั้ง) แต่เหมือนว่าคนทำกลับไม่ยอมให้คลี่คลายอุปสรรคได้ง่ายๆ และปล่อยปัญหาทิ้งไว้อย่างนั้นโดยที่ไม่เก็บกวาด และสร้างปัญหาต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ขณะที่ตัวละครอื่นๆทั้งเพื่อนและตำรวจก็ต่างไว้วางใจเหตุเลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ซึ่งมันตลกมากๆ ในท่าทีของตัวละครหลังจากที่เพิ่งฉลาดสักพักกลับทำตัวดูโง่ในที่สุด ทำให้นึกถึง ATM (David Brooks / 2012 / B- / E+15-20 for Enjoy) หนังเขย่าขวัญที่มีตู้เอทีเอ็มเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมซึ่งดำเนินเรื่องด้วยตัวละครสติฟุ้งเมื่อตกอยู่ในพื้นที่ปิดตาย โดยส่วนตัวแล้วชอบการดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบไม่เข้าท่าของตัวละครและนำมาสู่ความตายในท้ายที่สุด ซึ่งใน Rosewood Lane ก็มีลักษณะคล้ายกันแต่ต่างกันที่ที่เกิดเหตุไม่ใช่สถานที่ปิดตาย แต่ตัวละครรนหาที่ตายด้วยการทำตัวเสมือนว่าถูกออกกฎอยู่ในบ้านท่ามกลางสถานการณ์เคอร์ฟิวที่หนีไปไหนไม่ได้ยังไงยังงั้น
ความแปลกประหลาดของเด็กส่งหนังสือพิมพ์วายร้ายดูลึกลับน่าสนใจมาก ด้วยการเล่าลักษณะตัวละครด้วยการกระทำแบบปีศาจซาตานและคนโรคจิต และเส้นทางการปรากฏตัวที่ไม่ชัดเจนราวกับสัตว์ประหลาดหรือผู้มีอิทธิฤทธิ์เวทมนต์คาถา และก่อการณ์โดยไร้เหตุผลในแรงจูงใจที่แน่ชัด ซึ่งดีที่คนทำไม่ได้บอกรายละเอียดไปมากกว่าการเป็นตัวอันตรายของมันส่งผลให้การคาดเดาเรื่องราวของคนดูไม่เสถียร มันจึงเต็มไปด้วยปริศนาที่น่าหวาดระแวงและอยากติดตามเรื่องราว อย่างหนึ่งที่คนดูจะตั้งคำถามและพยายามเดาทางคือว่าตกลงแล้วจริงๆ มันเป็นตัวอะไร ทำอะไรได้บ้าง ซึ่งตอนท้ายเฉลยได้เหวอมากๆ แต่เสียดายที่ใช้ลิมิตความอันตรายของมันได้ไม่สุดเท่าที่ทุกอย่างเอื้อให้ไปถึงได้มากกว่านี้หากคนทำต้องการจะไปถึงในส่วนของความรุนแรงจริงๆ และสงสัยยิ่งกว่าว่าทำไมมันต้องมาทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์???
ความประหลาดของซอนนี่ นักจิตวิทยาสาวก็มีมาสู้ไม่แพ้กัน ทำให้นึกถึง คริสตีน ตัวละครนางเอกใน Drag Me to Hell (Sam Raimi / 2009 / A / E+30 for Enjoy) ซึ่งเป็นไปได้มากว่าเธออาจจะสืบทายาทกันมาแต่ปางก่อน ถึงแม้ซอนนี่จะใจสู้ทรหดไม่เท่าเส้นรอบวงเม็ดกระดุมเสื้อที่ต้องคำสาปของคริสตีน แต่ซอนนี่ก็สู้บ่ยั่น ด้วยความเป็นคนที่มันใจในภูมิความรู้ระดับด็อกเตอร์ของตัวเองที่ไขว่คว้าเพื่อบดบังปมอดีตความสัมพันธ์ที่ร้าวรานระหว่างเธอกับพ่อ ทำให้เธอเป็นหญิงนักสู้ที่ไม่กลัวแม้กระทั่งเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนบ้านเตือนว่าเป็นซาตาน เธอสามารถวิ่งสู้ฟัดตามจักรยานของซาตานหนุ่ม โดยยากที่จะหยั่งรู้กระบวนการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจของเธอในเหตุการระทึกนี้ อีกทั้งยังมีกองทัพหมาย่อมๆ ของเพื่อนบ้านวิ่งไล่ตามมาติดๆ ลองคิดดูสิว่าในฉากลุ้นระทึกขณะหญิงคนหนึ่งวิ่งไล่ตามคนร้ายที่กำลังปั่นจักรยานหนีไป ขณะเดียวกันก็มีเหล่าหมาเพื่อนบ้านหลากสายพันธุ์ทั้งพูเดิ้ลขนปุย และร็อตไวเลอร์ขาโหด มันจะเกิดอารมณ์แบบไหนได้ ฉากนี้จึงกลายเป็นฉากลุ้นระทึกที่ตลกมากๆ ว่าทำไมหมาต้องวิ่งตาม ซึ่งต่อมาหนังก็ทำให้หายสงสัย และแน่นอนว่าความอึดทนดั่งควายธนูสาวของซอนนี่ไปไกลมากกว่านั้นในตอนท้ายเรื่อง
ชอบมากๆ ในส่วนที่คนทำไม่ได้ให้ความใส่ใจการลาจากของตัวละครอย่างฟูมฟายที่มักจะเห็นได้บ่อยๆหลังเหตุการณ์พลัดพรากจากตายของตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครสำคัญอย่างบาร์เร็ตต์ ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ ทำให้ดูเหมือนว่าการถาโถมความช่วยเหลือเป็นห่วงเป็นใยคร่ำครวญเมื่อสักครู่เป็นเพียงการเสแสร้งของตัวละคร และไปไกลกว่านั้นเมื่อบาร์เร็ตต์ไม่ได้ถูกกล่าวถึงอีกเลย สร้างประสบการณ์ใหม่ในการดูหนังได้น่าฉงนดี
และซอนนี่ในฐานะนางเอกของเรื่องมาตลอดก็ไม่ได้มีจุดสรุปของชีวิตที่แน่ชัดในตอนท้ายเช่นกัน แต่กลับให้ความสำคัญกับการเฉลยตัวตนลึกลับของเด็กส่งหนังสือพิมพ์ด้วยตัวละครที่แทบไม่สำคัญเลย ซึ่งทำคนดูเหวอรับประทานมากทีเดียว ในส่วนนี้ทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าการดำเนินเรื่องทั้งหมดที่คิดว่าเป็นความผิดพลาดนั้นแท้จริงแล้วคนทำตั้งใจกวนประสาทของคนดูหรือเปล่านะ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นความกวนที่กล้าหาญชาญชัยมากเลยทีเดียว
ถึงแม้มันจะสะดุดขาตัวเองล้มอยู่บ่อยๆ แต่เป็นการล้มในท่าที่ตลกพิลึกพิลั่นจนจดจำได้ การไม่มีจุดสรุปของซอนนี่ และบาร์เร็ตต์นั้นก็คล้ายๆ ว่าเรื่องราวของ Rosewood Lane จะมีต่อในภาค 2 และเป็นหนังเขย่าขวัญที่ต้องทิ้งความเขย่าขวัญไว้ข้างหลังและซึมซับความประหลาดให้กลายเป็นความบันเทิงอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ