รักภาษาอะไร Myanma in Love in Bangkok (ณิชยา บุญศิริพันธ์ / Thailand, Myanmar / 2014)
หนังเปิดเรื่องมาภาพบรรยากาศพื้นๆ ปกติๆ ภาพชีวิตประจำวันการทำงานคัดกุ้งคัดปลา-พักกลางวันของแรงงานชาวพม่าในท่าเรือที่เรามักจะเห็นกันในภาพข่าวหรือสารคดีเกี่ยวกับแรงงานคนต่างด้าว ซึ่งเป็นฉากเปิดตัวพระเอก แต่มันเป็นแบบที่เราไม่เคยเห็นและไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นในหนังโรแมนติกคอเมดี้เรื่องไหนของไทย จนแอบหวั่นว่าจะดีเหรอที่เปิดมาแบบนี้ แต่ด้วยความที่มันสร้างความแปลกตาและความแปลกใหม่สำหรับหนังแนวนี้ได้น่าสนใจมากๆ ก็ทำให้เราได้แต่เอาใจช่วยรอดูส่วนต่อๆ ไป
เรื่องราวการดำเนินเรื่องไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ถึงขั้นซ้ำซากในช่วงแรกๆ ที่อาศัยความบังเอิญแบบโคตรบังเอิญสร้างสถานการณ์ให้พระเอกแรงงานชาวพม่าคนซื่อกับนางเอกคนไทยช่างสักสาวสวยเปรี้ยวซ่าให้มาเจอกันบนรถเมล์ ทั้งการแสดงและสกอร์ดนตรีประกอบเหมือนอ้างอิงมาจากละครไทยสักเรื่อง แต่ดีที่นักแสดงทั้งสองมีเสน่ห์ส่งถึงเราได้มากๆ จุดนี้จึงผ่านเลยไป แต่ส่วนย่อยอย่างการแสดงของตัวประกอบกระเป๋ารถเมล์และสกอร์ดนตรีประกอบที่น่าจะเป็นตัวชูรสได้ดีกลับไม่พอดีเหมือนดูพยายามให้ตลกแถมยังทำลายบรรยากาศความสมจริงที่ใช้มาตั้งแต่ต้นเรื่องที่ผ่านมาซึ่งเปิดมาได้น่าสนใจดีนั้นเลือนหายไปเสียหมดกลายเป็นละครซิทคอมบนจอหนังไปในทันที แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกกับหลายช่วงของหนังว่าการเลือกเล่าด้วยลักษณะแบบนี้มันทำให้นึกถึงหนังรอมคอมไทยยุคเก่าก่อน อย่างเช่น บุญชู อยู่บ้างเหมือนกันนะ ซึ่งทำให้รู้สึกลื่นไหลขึ้นได้บ้างแล้วเพลิดเพลินไปกับความเก่าเก็บในยุคปัจจุบันของมัน แต่เราก็ตั้งป้อมทำใจไว้ตั้งแต่นั้นแล้วว่าต่อไปคงเห็นแต่อะไรแบบนี้สินะ
แต่รายละเอียดยิบย่อยซ้อนทับกันอยู่ในส่วนอื่นๆ ทำให้มันมีชั้นเชิงให้น่าติดตามขึ้นมา คือแค่พล็อตที่มันเป็นเรื่องรักโรแมนติกของคนชายขอบในไทยอย่างแรงงานพม่านี่ก็สดใหม่ให้เราอยากรู้อยากเห็นซึ่งน่าจะพาให้สนุกไปได้ทั้งเรื่องแล้ว
แต่พอละเลยความสมจริงไปแล้วมันก็มีเมจิกบางอย่างมาทดแทนที่น่าจะชวนให้คนดูหลายคนจินตนาการส่วนตัวถึงทางเลือกของความรักในสังคมอาเซียน ในมโนภาพที่ว่าถ้าเปิดอาเซียนมาแล้วเราจะมีโอกาสพบรักแบบนี้บ้างมั้ยนะ อาจจะเกิดอาการจิ้นตัวเองกับหนุ่มสาวชาวพม่าหรือชาติอาเซียนอื่นๆ ขึ้นมาได้ทั้งที่สังคมไทยส่วนใหญ่มองคนกลุ่มนี้แบบ Stereotype เป็นคนชายขอบทำให้แฟนตาซีความรักระหว่างกันมันเกิดขึ้นได้ยากแต่หนังเรื่องนี้กระตุ้นให้มันเกิดได้ แต่ในความสนุกมันตกหลุมตกบ่อบ่อยทีเดียวโดยเฉพาะหลายครั้งที่มันกลายเป็นว่าสนุกเพราะความคลิเชแบบหนังรักโรแมนติกต้องมี
แต่ท่ามกลางความคลิเช่ก็มีจุดน่าสนใจที่ไม่จำเจอยู่ไม่น้อย อย่างเช่น บางระจันหนังสงครามความขัดแย้งระหว่างไทย-พม่า ที่นางเอกนั่งดูหัวเราะคิกคักต่อหน้าพระเอกคนพม่าที่กำลังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่มันทั้งเกิดแง่ที่ว่าคนไทยคนพม่าจะรักกันได้ไงวะ? กับทำไมคนไทยกับคนพม่าจะรักกันไม่ได้? ได้เข้าท่าและเกิดความตลกร้ายได้ดี และเชือกล่ามขาพระเอกนอกจากจะเป็นวิธีการเล่ากลายๆ ว่าเป็นความสัมพันธ์รักแบบเครื่องมือสำรองกับคนบังคับใช้งานที่นางเอกจะปล่อยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้เพื่อไปหาแฟนเก่าที่ตามง้องอนได้ดีแล้ว มันยังน่าสนใจในมุมการเมืองไทยพม่าที่เชื่อมโยงกับบางระจันได้สนุกดี ถึงแม้หนังจะไม่ได้เล่าเชิงเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ของพระเอก-นางเอกให้ชัดไปเลยแต่มันก็เป็นมุกเล็กๆ ให้ขบคิดได้ร้ายกาจพอสมควร แต่รวมๆ แล้วมันไปไม่ถึงไหนเท่าไหร่
มุมมองดูถูกคนพม่าชายขอบที่ชอบเอามาเล่นในมุกบทสนทนาก็ดูจริงใจดีนะ กล้าเอามาล้อในแบบที่คนชอบล้อกัน อย่างเช่น เรื่องสำเนียงภาษาไทยไม่ชัด เรื่องฐานะและการศึกษา อยากลองมีแฟนเป็นคนพม่าบ้างแต่จริงๆ ก็แค่ล้อเลียน มีการทำบัตรประชาชนปลอม ถูกตำรวจจับฯลฯ ซึ่งไม่ได้ปิดบังและไม่ได้หาเหตุผลมาแก้ต่างให้คนไทยที่เหมือนเป็นวายร้ายระดับหนึ่งดูเป็นคนใจกว้างเป็นคนดีที่คนพม่าอยากจะคบหาเท่าไหร่นอกจากนั้นมันก็ย้อนกลับมาจิกกัด การมองคนพม่าแบบไทยๆ อยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน ซึ่งมันกล้าดีที่เอามาเล่าเพราะคนดูกลุ่มเป้าหมายแรกๆ ก็คือแรงงานพม่าหรือคนพม่าที่อาศัยในไทยนี่แหละ แต่ตรงที่เปรียบเทียบพม่าน่าอยู่ กรุงเทพมีแต่ตึกน่าเบื่อมันเห่ยไปหน่อยนะ
ถัดจากซีนไคลแม็กซ์กลางสายฝนมันก็กลับมาในอีหร็อบรอมคอมเดิมๆ และส่วนรายละเอียดทางชนชาติกลับหายไป พระเอกยังถูกทรีตให้เป็นคนที่ใสซื่อจริงใจในความรักอยู่ใต้เท้าผู้หญิงซึ่งจะเขี่ยถึงหรือดึงเชือกล่ามเข้ามาหาเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งที่เรื่องของท้องไม่ท้องที่นำพาความสมหวังมาให้พระเอกในการครองคู่รักจนกระทั่งลงทุนทำงานหนักซื้อข้าวของเตรียมรับขวัญลูก แต่กลับนำพาความกังวลวุ่นวายมาถึงนางเอกและกลายเป็นโจ๊กตลกของเพื่อนๆ เพราะเป็นลูกของคนแรงงานพม่า ซึ่งมันจะสร้างแรงสะเทือนจนเราน้ำตาซึม แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเราไม่รู้สึกไปเสียก่อนว่าเหตุการณ์ถัดจากนั้นทุกอย่างทุกฉากทุกการกระทำของตัวละครถูกสร้างขึ้นเพื่อเล่าให้มันโรแมนติกในมุมของหนังรักมากกว่าสะท้อนมุมมองความคิดทางสังคม การไปพม่าของนางเอกจึงไม่แตกต่างเท่าไหร่นักหากเปลี่ยนตัวละครพระเอกเป็นคนเกาหลี แล้วให้นางเอกไปเกาหลี ไปกินกิมจิ ไปเมียงดง ไปตามรอยซีรีส์อย่างที่นักท่องเที่ยวทั่วไปเขาไปกัน
เช่นเดียวกับประเด็นเพื่อนนางเอกได้แต่งงานกับแฟนเก่านางเอกมันมาถูกจังหวะมากๆ จนเรารู้สึกถึงสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตามไปด้วยได้ แต่พอมันมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยมันก็เลยดูตั้งใจหักความรู้สึกทั้งตัวละครทั้งคนดูแบบไม่เนียนเพื่อให้นางเอกตัดใจจากแฟนเก่าตกลงปลงใจกับหนุ่มพม่า เสียดายยมากๆ ที่ไม่เล่นกับรอยสักให้มากกว่านี้ ทั้งที่มันมีลูกเล่นที่ปูทางไว้เยอะแยะ จึงกลายเป็นว่าหากจะเปลี่ยนอาชีพนางเอกเป็นนักดนตรีกลางคืน เป็นแม่ค้าขายของอย่างอื่นไปเลยก็ยังให้ฟังก์ชั่นเหมือนๆ เดิมได้อยู่ดี เสน่ห์ในอาชีพตัวละครตรงนี้เลยเบาบางไปมาก
แต่หนังใช้ความเป็นคนพม่าของพระเอกได้เต็มที่ถึงแม้มันจะไม่ได้กรีดลึกชำแหละถึง Stereotype ในส่วนมุมมองของคนไทยที่มีต่อคนพม่า แต่ในส่วนของรักโรแมนติกในการสร้างเสน่ห์และเงื่อนไขตัวละครก็อาศัยความเป็นแรงงานพม่าใสซื่อของพระเอกได้ดี มันเป็นทั้งตัวทำให้เกิดช่องว่างในความไว้วางใจของนางเอกตั้งแต่แรกว่ายังไงกูก็ไม่คิดอะไรเกินเลยกับผู้ชายแรงงานพม่าคนนี้หรอกจนเกิดการใกล้ชิดสนิทสนม ก่อนที่จะกลายเป็นเซ็กส์และความรักที่ทำให้สับสน และสิ่งที่ทำให้นางเอกตัดสินใจในการไปต่อหรือไม่กับพระเอกก็ไม่ใช่ความรักแต่เป็นเงื่อนไขอื่นทางวัฒนธรรมที่ไม่สามารถเข้ากันได้ เริ่มให้เห็นตั้งแต่อาหารที่ไม่ถูกปาก ภาษาที่ไม่เข้าใจ ซึ่งนางเอกไม่มีวี่แววที่จะปรับตัวให้เข้ากันได้นอกจากชวนให้พระเอกมาเรียนรู้วัฒนธรรมของตัวเองแทน และค่าเปรียบเทียบทางเศรษฐกิจและหน้าตาทางสังคมระหว่างพระเอกแรงงานพม่ากับแฟนเก่าหล่อรวยมีเส้นสายทางสังคมเป็นที่หมายปองแม้กระทั่งเพื่อนสนิทของนางเอกเอง ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่มาจากลักษณะตัวละครแรงงานชาวพม่าของพระเอกที่ด้อยกว่า แต่มันก็ยังรู้สึกว่าหนังจะเปลี่ยนพระเอกจากหนุ่มแรงงานพม่าเป็นหนุ่มบ้านนอกต่างจังหวัดก็ยังได้นี่
รวมๆ แล้วเป็นหนังปกติสูตรรอมคอมทั่วไปที่ยังนำพาประเด็นที่มากกว่าหนังรักโรแมนติกคอเมดี้ไปไม่ถึงฝั่งที่คนดูอย่างเราวาดหวัง แต่ความสนุกพิเศษของมันคือรายละเอียดความสัมพันธ์ที่มีบริบททางสังคมที่ถ่ายทอดผ่านตัวละครสองชนชาติอย่างสาวไทยกับหนุ่มพม่า ถึงแม้ต้องอาศัยคนดูช่วยจินตนาการอุดรอยร่องช่องโหว่ให้เป็นระยะๆ แต่ก็ทำให้เกิดมุมมองทางความคิดและมิติทางอารมณ์ความรู้สึกใหม่ๆ ในแบบที่ไม่เคยมีหนังรักตลกเรื่องไหนของไทยเคยทำมาก่อน ซึ่งทำให้เราเพลิดเพลินได้มากๆ ด้วยส่วนผสมต่างๆ ทำให้มันน่าสนใจจนกลายเป็นหนึ่งในหนังรอมคอมไทยเล็กๆ ที่เราจะจดจำและพูดถึงในฐานะให้หนังรักระหว่างไทยกับคนต่างชาติโดยเฉพาะประเทศอาเซียน ถัดจากหนังชุด สบายดีหลวงพระบาง ที่ออกโรงมาก่อนหน้า