Run All Night เหมือนเป็นการเอา Taken มาเจอกับ Road to Perdition แล้วเล่าในสไตล์ A Walk Among the Tombstones ครับ ^_^
หนังว่าด้วยจิมมี่ คอนลอน (Liam Neeson) มือปืนคนสนิทของเจ้าพ่อระดับบิ๊กอย่างฌอน แม็กไกวร์ (Ed Harris) ที่ต้องออกโรงปกป้องไมค์ ลูกชายของเขา (Joel Kinnaman) เนื่องจากไมค์ไปเห็น แดนนี่ (Boyd Holbrook) ลูกของฌอนฆ่าคนตายเข้าพอดีครับ
แต่ก็แน่นอนว่าเรื่องมันต้องบานปลาย จนส่งผลให้คืนแห่งการไล่ล่าระห่ำเมืองเริ่มต้นขึ้น
ความรู้สึกอย่างแรกของผมคือ ผมชอบเรื่องนี้มากกว่า Taken 3 แฮะ ^_^ หลายอย่างมันพอเหมาะพอดี แม้พล็อตจะไม่ได้ใหม่มากมายก็ตามที
การแสดงของดารานำอย่างลุง Liam และ Harris ไว้ใจได้ครับ โดยเฉพาะลุง Liam ที่สามารถใส่อารมณ์ดราม่าลงในหนังแอ็กชันได้อย่างพอเหมาะ ส่วน Harris แม้จะมาในบทดาวร้ายพิมพ์นิยม แต่บารมีเขาก็ยังไปได้ดีกับบทแบบนี้
ดารารุ่นลูกก็ถือว่าช่วยเสริมได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่อาจไม่เด่นมาก ไม่ว่าจะ Kinnaman หรือ Holbrook ในขณะที่ดารารุ่นเก๋าที่มาสมทบอย่าง Bruce McGill และ Vincent D’Onofrio ก็ถือว่ามาให้พอเห็นหน้า แต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรมากเท่าไร ถ้าจำไม่ผิดนี่ McGill (ที่ผมจำเขาได้จากบทเพื่อนสนิทของ MacGyver) แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยครับ 555
หนังเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ครับ มีตื่นเต้นเป็นพักๆ มีแอ็กชันแทรกเป็นช่วงๆ ซึ่งก็น่าติดตามดีครับ เพียงแต่หนังไม่ได้มีปมลึกลับซับซ้อนอะไรมาก คือเรารู้แต่แรกว่าเรื่องมันเกิดเพราะอะไร รู้แล้วว่าใครฆ่าใคร ที่เหลือก็คือดูไปจนจบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร ใครรอดใครตายบ้าง (ซึ่งผมว่ามันก็เดาได้ไม่ยากนะครับ) ดังนั้นหากคาดหวังอะไรเหนือชั้นแปลกใหม่ก็อาจต้องเผื่อใจไว้บ้างครับ แต่หากชอบดูหนังแอ็กชันผสมดราม่าเพลินๆ (ที่มีลุง Liam แสดงนำ) ผมว่าเรื่องนี้ก็จัดว่าน่าพอใจอยู่
หรืออาจเพราะผมเป็นติ่งลุง Liam ก็ได้น่ะครับเลยเพลินกับหนังได้เรื่อยๆ 555
เรื่องนี้กำกับโดย Jaume Collet-Serra ที่เคยร่วมงานกับลุง Liam มาแล้วใน Unknown และ Non-Stop ซึ่งผมว่า Run All Night ดูเพลินรองจาก 2 เรื่องนั้นหน่อยครับ
โดยสรุปแล้ว หนังออกมาโอเคครับ แอ็กชันอาจไม่ถึงขั้นกระหน่ำ และอาจไม่มีปมลึกลับให้ตามสืบค้น แต่โดยรวมก็ถือว่าดูเพลินได้มาตรฐานสำหรับหนังบู๊ที่มีลุง Liam นำแสดงครับ
++++++ ถัดจากนี้ว่าด้วยสิ่งที่ผมคิดจากหนัง และมีสปอยล์นะครับ ++++++
1) ผมแอบชอบประเด็นที่สอดแทรกในหนังหลายอย่าง อย่างตัวจิมมี่และฌอนที่สมัยหนุ่มๆ เคยทำเรื่องเลวร้ายเพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองมาเยอะ แต่พอแก่ตัวและมีลูก พวกเขาก็เริ่มสำนึกและอยากหยุดกิจกรรมนอกกฎหมายลงซะให้หมด เพราะไม่อยากให้ลูกต้องสืบทอดงานผิดกฎหมายหรือโดนหางเลขจากสิ่งที่ตนเองทำ
แต่ลองว่าทำไปแล้วน่ะครับ ยังไงมันก็ต้องมีผลสะท้อนกลับมา อย่างฌอนเองทำกิจการนอกกฎหมาย ก็ไม่แปลกหากลูกจะริลองทำบ้าง จนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา หรือตัวจิมมี่เอง ที่แม้จะกันลูกให้อยู่ห่างจากตนเองมากแค่ไหนก็ตาม และลูกก็ไม่ได้ทำงานอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่สุดท้ายโลกที่พ่อคุณเคยก็ไปส่งผลต่อชีวิตลูกจนได้
กฎแห่งกรรมไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติครับ มันคือทำอะไรแล้วได้ผลแบบนั้นตามหลักธรรมชาติ หนังเรื่องนี้ก็สะท้อนความจริงเหล่านั้นให้เราเห็นผ่านเรื่องราวแอ็กชันไล่ล่า
ในชีวิตจริงก็ไม่ต่างกันครับ ต่างก็คงเพียงระยะเวลา เพราะแต่ละคนได้รับผลในสิ่งที่ทำ “เร็ว-ช้า” ต่างกันไป
2) จุดหนึ่งที่โดนใจผมคือเรื่องของจิมมี่และไมค์ ที่ไมค์นั้นมองโลกในแง่ดี มองว่าตำรวจต้องจับผู้ร้าย มองว่าหากเขาไม่ได้ทำผิดก็ไม่ต้องรับโทษ มองว่าการพูดความจริงจะนำมาซึ่งทางออก
แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่
ตำรวจมีหลายแบบ, คนทำผิด แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน และดันไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา ก็อาจโดนรวบได้ และการพูดความจริงที่เรามั่นใจสุดๆ ว่าจริงแท้แน่นอน สุดท้ายก็อาจไม่มีคนเชื่อ หรืออาจมองว่าเราโกหกก็ได้
โลกความจริงอาจดูโหดร้าย แต่จริงๆ มันไม่ได้โหดร้ายหรอกครับ มันแค่เป็นแบบที่มันเป็นเท่านั้นเอง
สิ่งที่จิมมี่สอนไมค์ คือสอนให้ลูกเข้าใจความจริงทั้งหลาย มองอย่างที่มันเป็นให้ทะลุ ไม่ทื่อมะลื่อตัดสินใจอย่างไร้เดียงสา
เพราะราคาที่ต้องจ่ายให้กับการมองโลกอย่างใสซื่อ และไร้ประสบการณ์ อาจเป็น “ชีวิต” ของตน
มองให้ชัดว่ามันเป็นอย่างไร ก่อนจะลงมือจัดการกับมัน ทำให้ผลลัพธ์ออกมาในแบบที่เราต้องการ
เหมือนแง่คิดสำคัญใน Cinderella ที่ว่า “ไม่มองโลกอย่างที่มันเป็น แต่มองโลกอย่างที่มัน “เป็นได้”
โลกอาจไม่งามงดสดใส แต่ยังพอมีทางให้เรานำพาชีวิตไปเจอโลกที่ดีๆ (เท่าที่มันเป็นได้จริง) โดยจุดสำคัญคือ มองปัจจุบันให้ออกว่าเรายืนอยู่ตรงไหน จะได้ไปต่อถูก ^_^
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)