วิลล์ (Nicolas Cage) และลอร่า (January Jones) คือคู่รักที่หวานแหววจนใครๆ ต้องอิจฉา แต่แล้ววันหนึ่งลอร่าถูกคนร้ายทำร้ายปางตาย นั่นทำให้วิลล์รู้สึกเจ็บแค้นอย่างมากที่ตนไม่สามารถปกป้องเธอได้
ในคืนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีชายลึกลับ (Guy Pearce) โผล่มาพร้อมยื่นข้อเสนอกับวิลล์ว่าจะล้างแค้นให้ เพียงแต่วิลล์จะต้องตอบแทนเขาด้วยบางสิ่ง (ซึ่งตอนนี้วิลล์ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร) และด้วยความแค้นทำให้วิลล์ตอบตกลง
ไม่นานหลังจากนั้น คนร้ายที่ทำร้ายลอร่าก็ถูกเก็บครับ และวิลล์ก็โดนทวงให้ทำตามสัญญาซึ่งไม่ใช่แค่ครั้งเดียวครับ วิลล์โดนทวงสัญญาหลายครั้งและแต่ละครั้งมันก็เริ่มผิดกฎหมายมากขึ้น จนวิลล์ต้องการจะจบเรื่องนี้ แต่ก็แน่นอนว่ามันจะไม่มีวันจบลงง่ายๆ หรอก
เรื่องนี้ถือว่าไม่เลวครับ อาจจะไม่ได้เด็ดขาดยอดเยี่ยม แต่ก็ดูได้เรื่อยๆ สำหรับหนังแนวดราม่าทริลเลอร์แบบนี้ ส่วนสำคัญคงเพราะทีมงานส่วนใหญ่จัดว่ามีฝีมือในระดับหนึ่งครับ เริ่มจากผู้กำกับ Roger Donaldson เจ้าของผลงานอย่าง The Bank Job, The World’s Fastest Indian, The Recruit, Thirteen Days และ Dante’s Peak ซึ่งแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เด็ดเท่าเรื่องที่กล่าวมาก็เถอะ แต่ก็ยังถือว่าโอเคน่ะครับ
พี่ Cage ก็แสดงได้โอเคตามที่บทกำหนดครับ ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือ บทนี้กับหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในหนังระยะหลังๆ ของเขาที่ดูแล้วรู้สึกโอเคพอใช้ แล้วยังได้ January Jones กับ Guy Pearce มาสมทบ โดยเฉพาะรายหลังนี่ถ้าเป็นบทตัวร้ายบ้าอำนาจแต่มาดผู้ดีล่ะก็ เขาถนัดอยู่แล้วล่ะครับ
ยอมรับว่าไม่รู้จะพูดอะไรให้มากมายเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ครับ เพราะหนังมันเรื่อยๆ มีบรรยากาศความระทึกและกดดันอยู่บ้าง (แต่ก็ยังไม่สุด) มีความตื่นเต้นผสมลงไปบ้าง (แต่ก็ยังไม่จัดจ้าน) และปมดราม่าก็ถือว่าพอได้ (แต่ก็ยังไม่เข้มข้นถึงขนาด) เรียกได้ว่าหนังอาจจะดูธรรมดา แต่ก็ไม่ได้เข้าข่ายแย่ เพราะได้ดาราดีๆ และจังหวะการนำเสนอก็จัดว่าพอเหมาะเป็นส่วนใหญ่ (นั่นหมายถึง บางจังหวะที่ดูอืดก็มีอยู่เหมือนกันครับ)
จะว่าไปหนังก็มีประเด็นให้คิดเหมือนกันครับ ในเรื่องเราจะเห็นว่าคนในองค์กรของไซม่อน (Pearce) นั้นมีอยู่เยอะ ชนิดที่วิลล์หันไปทางไหนก็แทบจะเจอคนขององค์กรเดินอยู่รอบๆ ตัว ถ้ามองในแง่หนังทริลเลอร์ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะองค์กรใหญ่ๆ ก็ย่อมมีคนในองค์กระกระจายอยู่ทั่วเป็นของธรรมดา แต่เมื่อลองพิจารณาในกรณีที่ว่า “คนที่จะเข้ามาร่วมในองค์กรนี้ล้วนต้องเคยเจอประสบการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียมาก่อน” เช่น คนรักโดนทำร้ายหรือไม่ก็โดนฆ่าตาย โดยที่กฎหมายไม่สามารถเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้ (หรือกว่าจะลงโทษได้ก็รอเป็นปีๆ มิหนำซ้ำโทษที่พวกนั้นได้รับอย่างไม่สาสมกับความผิดที่ทำเสียอีก)
ซึ่งแสดงว่าคนที่เจอเรื่องแบบนี้มีเยอะ คนที่สูญเสียแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นมีเยอะจนทำให้คนในองค์กรมีเพียบได้ขนาดนี้ มันก็สะท้อนถึงความเสื่อมทรามของสังคมและสะท้อนกระบวนการยุติธรรมได้ไม่น้อยเหมือนกัน
ถ้าสังคมไม่ย่ำแย่ขนาดนี้ ก็คงไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียซ้ำซากมากมาย หรือถ้ากระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ คนก็คงไม่ต้องหันไปเป็นศาลเตี้ยกันแบบที่เห็นในหนัง
สารภาพว่าที่ผมเขียนอยู่เนี่ย ผมกำลังเขียนถึงหนังหรือเขียนถึงโลกแห่งความจริงกันแน่… ชักแยกไม่ออกแล้วแฮะ
สำหรับเรื่องนี้ สองดาวครับ
(6/10)