เป็นผลงานหนังสั้นจากฝีมือของแฟนๆ Harry Potter ครับ ซึ่งผมดูแล้วรู้สึกชอบอยู่ไม่น้อย เพราะถือว่าทำออกมาได้ดีและมีการใส่ใจรายละเอียดค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเหมือนเป็นการเติมเต็มอะไรบางอย่างในไทม์ไลน์ของหนังชุดนี้ด้วย
โดยคนทำก็คือ Justin Zagri ที่เคยมีผลงานหนังสั้นเรื่อง The Greater Good มาก่อน โดยเรื่องนั้นจับเอาเหตุการณ์การเผชิญหน้าครั้งสำคัญระหว่างอัลบัส ดัมเบิลดอร์กับเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์มาบอกเล่า
สำหรับเรื่องนี้ก็ว่าด้วยเหตุการณ์การเผชิญหน้าเช่นกันครับ ระหว่างเซเวอรัส สเนป (Mick Ignis) กับเจมส์ พอตเตอร์ (Garrett Schweighauser) และพรรคพวก ในช่วงที่พวกเขากำลังจะจบจากฮอกวอตส์และเลือกทางเดินของตนเอง
หนังยาวประมาณ 23 นาทีครับ ทุนสร้างโดยประมาณอยู่ที่ $28,000 เหรียญ ผลที่ได้ก็นับว่าน่าพอใจเลยครับ อย่างแรกที่ผมชอบมากๆ คือดนตรีของ Alexander Arntzen ครับ ท่วงทำนองจัดว่าไม่ธรรมดาเลย ได้อารมณ์แบบหนัง Harry และถึงพร้อมในความอลังการสไตล์หนังแฟนตาซี
สำหรับผมแล้วดนตรีถือเป็นหนึ่งในตัวเอกเลยล่ะครับ มันเร้าอารมณ์ได้ดี หรือพอถึงซีนอารมณ์ก็กินใจไม่น้อย และที่ลืมไม่ได้คือดนตรีตอน End Credits ครับ มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้โล่ห์มากๆ ถ้าพูดถึงดนตรีนี่ผมยกนิ้วให้ว่าดีมากๆ ชนิดที่หนังใหญ่ๆ บางเรื่องยังอายน่ะครับ
งานโปรดักชั่นก็ทำออกมาได้ดีครับ สถานที่ถ่ายทำก็ถือว่าโอเค อย่างฉากที่ตัวละครทำการดวลกันในป่า คือมันอาจไม่ได้ให้อารมณ์แบบ “โลกเวทย์มนต์” แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่าพอรับได้ครับ
ฉากดวลกันก็ทำได้มันส์ดี อยากบอกเลยครับว่านี่เป็นอะไรที่ผมอยากเห็นมานานแล้ว คืออัดพลังเวทย์ใส่กัน ยิงใส่กันแบบรัวๆ ซัดกันนัวแบบเทพๆ ซึ่งฉบับหนังนั้นไม่ค่อยถึงใจเท่าไร (ที่ใกล้เคียงคำว่าถึงใจคือฉากสู้กันในตอนท้ายของภาค 5 น่ะครับ แต่มันก็ยังไม่สุดนะ)
แต่กับเรื่องนี้ ดวลกันมันส์ครับ แม้ CG อาจไม่เนียนเต็มร้อย และท่าทางตอนร่ายเวทย์ของตัวละครจะยังไม่ลงล็อคบ้าง แต่ก็จัดว่ามันส์ (จนแอบภาวนาให้ฉบับหนังใหญ่เป็นทางการภาคต่อๆ ไปของหนังชุดนี้ มีฉากดวลเวทย์มันส์ๆ แบบนี้บ้าง)
แน่นอนว่าหนึ่งในสิ่งที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดคือการตีความตัวละครครับ โดยเฉพาะตัวเจมส์ พอตเตอร์ที่ดูจะออกแนว Bad ร้ายๆ สักหน่อย ซึ่งแฟนๆ บางส่วนก็มองว่ามันอาจจะดูร้ายเกินจริงไปนิด อันนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับความเห็นของแต่ละคนครับ
ส่วนผมนั้นก็เข้าใจทั้งสองมุมครับ ในมุมหนึ่งเจมส์ก็อาจจะดูร้ายไปบ้าง แต่ในแง่หนึ่งก็เข้าใจว่าหนังพยายามถ่ายทอดให้เห็นว่าความขัดแย้งหลักๆ ที่ทำให้เจมส์ชอบแกล้งสเนปก็เพราะลิลลี่นั่นเอง เหมือนอารมณ์ผสมๆ ระหว่างหึงหวง+หมั่นไส้น่ะครับ ยิ่งเขาป็อบปูลาร์มีกลุ่มก๊วนด้วยแล้ว ก็อาจมีบ้างที่เขาจะหลงหรือเหลิงล้ำเส้นไปบ้าง
ส่วนสเนปเองที่ชีวิตไปสู่เส้นทางนี้ (ลุ่มหลงศาสตร์มืด, สนิทกับคนนอกแถว) ก็เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนเดิมระหว่างเขากับลิลลี่นั่นเอง ซึ่งผมชอบสิ่งที่หนังพยายามตีความเหมือนกันครับ
ฉากที่สเนป์เจอกับลิลลี่ในตอนท้ายเป็นอะไรที่บีบหัวใจสำหรับผมนะ น้ำตาซึมเรียบร้อยครับ เพราะจริงๆ ก็เห็นใจสเนปส์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้มันก็เกิดอารมณ์เศร้าผสมซึ้งน่ะครับ (ไหนจะดนตรีที่ Touch จิตใจอีก ยิ่งไปกันใหญ่ครับ กลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ)
และที่ผมชอบมากๆ คือการตีความบทรีมัส ลูปิน ให้เป็นคนที่ดูสุขุมและมีสติที่สุดในกลุ่ม ในขณะที่เจมส์, ซีเรียส และปีเตอร์พากันรุมสเนปแบบสะใจ แต่สีหน้าเรมัสแสดงความสับสนแบบชัดเจนน่ะครับ เพราะเขาไม่อยากทำร้ายสเนป แต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอจะห้ามเพื่อน่ จุดนี้เป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ ครับ
ถือเป็นหนัง Fan Film ที่ควรค่าแก่การดูครับ แม้บางประเด็นในหนังอาจก่อให้เกิดความเห็นต่างไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันก็คือ ทีมงานมีความตั้งใจในการสร้างหนังเรื่องนี้ครับ ^_^
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)