Snake Eyes: G.I. Joe Origins (2021) จี.ไอ.โจ: สเนค อายส์

Untitled06963

น่าเสียดายเหมือนกันครับที่ Snake Eyes: G.I. Joe Origins จุดไม่ติด ซึ่งหนังนั้นจริงๆ ก็ดูได้เรื่อยๆ ครับ มีทั้งส่วนที่เข้าท่าและส่วนที่น่าจะดีได้อีกผสมปนเปกัน แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่เวิร์กเท่าที่ควร

จริงๆ พล็อตมันก็มีทิศทางครับ หนังแนะนำเราให้รู้จักกับสเนคอายส์ (Henry Golding) ที่ต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังเล็ก แล้วเขาก็เก็บไฟแค้นนั้นสุมไว้ในอกหมายจะสังหารคนที่ฆ่าพ่อให้จงได้ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ยื่นมือเข้าช่วยทอมมี่ (Andrew Koji) ทายาทแห่งตระกูลอาราชิคาเกะ จนทอมมี่สำนึกในบุญคุณเลยพาเขามาเข้าตระกูล อันทำให้สเนคอายส์มีโอกาสได้ทบทวนเส้นทางที่เขากำลังเดินอยู่

ครับ พล็อตมีทิศทาง มีเส้นเรื่อง แต่การเล่าเรื่องไม่ใคร่จะสามารถทำให้เราอินกับการเลือกเส้นทางชีวิตของสเนคอายส์สักเท่าไร เหมือนเล่าแบบลุยด่านไปเรื่อยๆ น่ะครับ แม้บางช่วงจะมีสาระสอดแทรก อย่างแต่ละด่านที่สเนคอายส์ต้องเผชิญตอนอยู่ในตระกูลอาราชิคาเกะ จริงๆ มันมีแง่คิดและปริศนาธรรมซ่อนอยู่ แต่หนังก็เหมือนจะเล่าแบบเล่าไปเรื่อยๆ น่ะครับ ไม่ได้เน้นหรือทำให้เราสัมผัสถึงแง่คิดเหล่านั้นอย่างที่ควรจะเป็น

จุดที่จัดว่าดีในหนังเรื่องนี้คือการแสดงครับ ดาราแต่ละคนเลือกมาได้ดี และแสดงได้เหมาะ แต่เพราะการเล่าเรื่องที่ยังไม่แม่น เลยทำให้ความหนักแน่นของตัวละครพร่องลงไป นี่ผมอดคิดไม่ได้เลยนะว่าถ้าการเล่าเรื่องมันดี จับประเด็นดีๆ และมีการคุมพลังแต่ละฉากให้ดำเนินไปอย่างเข้มข้นแล้วล่ะก็ เมื่อมาบวกกับการแสดงดีๆ หนังคงจะเป็นอะไรที่น่าจดจำมากทีเดียว เพราะ Golding ก็สื่ออารมณ์ได้ดีในหลายวาระครับ ส่วน Koji ในบททอมมี่นี่ก็จัดว่าน่าจดจำไม่น้อยเหมือนกัน

งานโปรดักชั่นเวิร์กครับ แต่ละฉากถืได้อารมณ์ความเป็นญี่ปุ่น ตั้งแต่ตรอกซอกซอย ป่าไม้ ไปจนถึงคฤหาสน์หลังโตถือว่าทีมงานเลือกและเซ็ทได้ดี บางฉากนี่เล่นกับแสงสีได้อย่างพอเหมาะ อย่างตอนตีกันในตรอกกลางสายฝนน่ะครับ ดูสวยน่าสนใจทีเดียว

แต่ปัญหาประการสำคัญของหนัง นอกจากการเล่าเรื่องแล้ว ก็คือฉากบู๊ครับ คือจริงๆ มันก็มีบู๊กันตลอดเป็นระยะๆ นั่นแหละ แต่ฉากบู๊มันไม่สะใจ มันบู๊แบบตัดฉับน่ะครับ อย่างตอนเคนตะ (Takehiro Hira) จะประมือกับทอมมี่ในตรอก เดี๋ยวเดียวก็ตัดฉับ หรือตอนตัวละครที่น่าสนใจอย่างไบลด์มาสเตอร์ (Peter Mensah) กับฮาร์ดมาสเตอร์ (Iko Uwais) 2 ปรมาจารย์แห่งตระกูลจะวาดลวดลาย กลายเป็นว่าแป๊บเดียวก็ตัดฉับอีก เรียกว่าใครจะโชว์ฟอร์มนี่ทำได้เพียงตวัดดาบแค่ไม่กี่ทีครับ แป๊บเดียวก็โดนตัดฉับซะแล้ว (ยังไม่ทันมันส์เลย)

Untitled06964

ผมว่าหนังให้เวลาและความสำคัญกับฉากบู๊น้อยไปครับ เพราะจริงๆ แล้วฉากบู๊ในหนังนั้น ไม่ได้มีไว้แค่ต่อสู้ให้ดูมันส์เท่านั้นนะครับ แต่มันสามารถสื่ออะไรได้หลายอย่างท่ามกลางการประมือของตัวละคร ไม่ว่าจะสะท้อนอุปนิสัย, สะท้อนว่าเป็นคนมีเกียรติมีคุณธรรมหรือเป็นพวกใจร้อนหมายแต่จะเอาชนะโดยไม่เกี่ยงวิธี รวมไปถึง “เชิง” หรือเลเวลฝีมือของแต่ละคน อะไรเหล่านี้คือของดีที่หากใส่ลงไปในฉากบู๊แล้วล่ะก็ นอกจากจะได้ความมันส์แล้ว ยังได้ความลึก ความเข้ม และความขลังไปด้วย

ถ้าให้เทียบเล่นๆ นะครับ เทียบนิยามว่าฉากบู๊ในหนังอย่าง Kingsman, John Wick หรือ Rurouni Kenshin เนี่ย ถือได้ว่าอยู่ในประเภท “บู๊จัดซัดโฮก” ในขณะที่หนังเรื่องนี้ออกแนว “จิบ” ครับแค่จิบนิดๆ ดื่มหน่อยๆ เลยไม่ค่อยรู้รสเท่าที่ควร

ยอมรับว่าเสียดายครับ เสียดายจริงๆ นะ โดยเฉพาะฉากบู๊ที่หลายฉากนี่ถ้าบู๊ยาวๆ มันคงงเจ๋งอ้ะ แต่เท่าที่เป็นนี่เลยทำให้หนังไม่สุดสักทางครับ เนื้อเรื่องก็ยังไม่สุด ปมขัดแย้งหรือความเข้มข้นก็ยังไม่สุด (โดยเฉพาะการ “ระเบิดลง” ของตัวละครหนึ่งในช่วงท้าย ผมว่าเรื่องมันยังไม่พีคถึงขั้นนั้นน่ะ) หรือฉากบู๊ที่น่าจะเป็นจุดขายของหนังก็ยังไม่สุดอีกเช่นกัน

โดยส่วนตัวแล้วผมว่าผู้กำกับ Robert Schwentke ไม่ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ แม้เขาจะเคยมีงานที่เข้าท่าอย่าง The Time Traveler’s Wife, RED และ Der Hauptmann แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นงานแอ็กชันแล้ว ผลงานของเขายังไม่เข้าเป้าเข้าตา ไม่ว่าจะ R.I.P.D., Insurgent หรือ Allegiant

ผลตอบรับของหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าล่มครับ หนังลงทุนไป $88 ล้าน แต่ทำเงินเพียง $36 ล้านจากทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งจริงๆ หากมองในแง่งานโปรดักชั่นต่างๆ นี่ผมถือว่าลงทุนได้คุ้มนะ งานสร้างถือว่าได้น้ำได้เนื้อ แต่หนังไปพร่องตรงส่วนที่ต่อให้มีเงินเยอะก็อาจช่วยไม่ได้ อย่างบทหนัง ความเข้มข้นของเรื่อง หรือวิสัยทัศน์เกี่ยวกับฉากบู๊ทั้งหลาย

สรุปอีกที ว่าเสียดายจริงๆ ครับ

เกือบสองดาวครับ

Star12

(5.5/10)

SHARE THIS: