SULLY (2016) ซัลลี่ ปาฎิหาริย์ที่แม่น้ำฮัดสัน

Sully (★★★) สร้างจากเหตุการณ์จริงครับ Tom Hanks รับบท เชสลีย์ “ซัลลี” ซัลเลนเบอร์เกอร์ กัปตันเครื่องยูเอสแอร์เวย์เที่ยวบินที่ 1549 ที่ประสบอุบัติเหตุเจอฝูงห่านบินชนเครื่องยนต์ แล้วเครื่องก็ค่อยๆ ลดระดับลงจนใกล้โหม่งโลกทุกขณะแล้วซัลลี่ก็สร้างวีรกรรมนำเครื่องร่อนลงที่แม่น้ำฮัดสันครับ ส่งผลให้ผู้โดยสารทุกคนในเที่ยวบินนี้รอดชีวิตได้ทั้งหมด เหตุการณ์ที่ว่าเป็นที่พูดถึงไปทั่ว นักข่าวทุกช่องต่างให้ความสนใจซัลลี่และครอบครัวของขึ้นมาในทันทีแต่ทว่าภายในองค์กรของเขานั้นก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น และท่าทีของคณะกรรมการในเบื้องต้นก็ดูจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของซัลลีสักเท่าไรแล้วกัปตันซัลลี่ก็ต้องเผชิญกับความกดดันและสับสนครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะพอโดนสอบโดนซักมากๆ เขาก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันถูกต้องจริงหรือเปล่า?จังหวะหนังไม่ได้เร่งเร้ามากสักเท่าไรครับ สไตล์หนังจะไม่เหมือน Captain Phillips ส่วนหนึ่งก็เพราะลีลาการกำกับของปู่ Clint Eastwood จะไม่ค่อยเน้นความหวือหวาหรือตื่นเต้น แต่จะเน้นเรื่องอารมณ์ เน้นบรรยากาศ แล้วก็เน้นที่ดราม่าเป็นหลักผลที่ได้ถือว่าน่าพอใจเลยครับ คือมันอาจไม่ได้สุดยอดนะ แต่ถือว่าทำได้ดีและน่าจดจำ พลังอย่างแรกของหนังก็คือการแสดงดีๆ ของ Hanks นี่แหละครับ ยิ่งเวลาเขารู้สึกกดดันนี่เราก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนสับสนในจิตใจของเขา เพียงแต่อารมณ์ที่เขาสื่อออกมาอาจไม่ได้โฉ่งฉ่างอะไรมาก เรียกว่ากำลังดีครับ ไม่เยอะไป แต่ก้ไม่น้อยไปหนังเดินเรื่องแบบเล่าสลับเหตุการณ์ อย่างพอเปิดมานี่หนังก็เล่าถึงเหตุการณ์หลังเครื่องตก ก่อนที่จะสลับเหตุไปวันเครื่องตก หนังเล่าแบบสลับกันไป แต่เป็นการสลับที่มีเอกลักษณ์ดีครับ คือไม่ได้เล่าสลับแบบเรียงลำดับเหมือนหนังทั่วๆ ไปเช่นบางเหตุการณ์ที่หนังเล่าไปแล้ว หนังก็จะเอาเหตุการณ์นั้นๆ มาเล่าซ้ำในมุมที่ต่างออกไป เช่น มีการเล่าเหตุการณ์ในห้องผู้โดยสาร ณ ขณะที่เครื่องกำลังตก แล้วพอเดินเรื่องไปสักพักหนังก็จะย้อนมา ณ เวลาดังกล่าวอีกครั้ง แต่จะเล่าเหตุที่เกิดในที่อื่นๆ แทนผมชอบการเล่าแบบนี้ครับ เหมือนเป็นการค่อยๆ ย้ำอารมณ์เราให้จมลงในเรื่องราวแบบลึกขึ้นๆ ใช้วิธีการเล่าซ้ำๆ (แต่ต่างมุมหรือต่างสถานที่) จนเราเห็นภาพเหตุการณ์ครบ แลบะสามารถบิ้วอารมณ์ความกดดัน+ตื่นเต้นให้เกิดขึ้นในใจเราได้อย่างดีที่ผมชอบอีกอย่างคือหนังเล่าให้เรารู้อะไรๆ จนหมดตั้งแต่ต้น แต่พอมาดูเหตุการณ์นั้นอีกในตอนท้ายๆ เราก็ยังรู้สึกลุ้นและตื่นเต้นได้ เพียงแต่มันอาจไม่ได้ตื่นเต้นตูมตามเท่านั้นเองครับ แต่ถ้าถามว่าถึงอารมณ์ไหม ผมว่าถึงนะ อย่างน้อยเราจะเข้าใจอารมณ์ของกัปตันซัลลี่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกอยากเอาใจช่วยให้เขาผ่านเรื่องนี้ไปเสียทีเป็นหนังดีอีกเรื่องของป๋า Tom Hanks และปู่ Clint Eastwood ครับ ดูแล้วอิ่ม ได้ความหวัง ได้ความรู้สึกดีๆ โดยส่วนตัวผมว่าเป็นหนังที่องค์กรทั้งหลายควรดูไว้ เพราะหนังเอาประเด็นการทำงานร่วมกันภายในองค์กรมานำเสนอได้อย่างน่าสนใจครับ บางจุดก็เหมือนเป็นการเอาความจริงมาพูดเล่น เช่น การพยายามหา “คนผิด” ให้ได้ยามเกิดเหตุอะไรสักอย่างขึ้นมา แต่บางทีมันอาจไม่มี “คนผิด” จริงๆ หรอกครับ มันอาจเป็นความขัดข้องของระบบ เหตุสุดวิสัย ฯลฯ ซึ่งมันย่อมต้องมีคนรับผิดชอบในเรื่องนั้นๆ แต่เขาอาจไม่ใช่ “คนผิด” แบบที่ต้องจับมาลงโทษหรือจับมาเป็นคนรับบาปต่อเหตุการณ์นั้นๆ ก็เป็นได้หรือเรื่องการเพ่งโทษ, การเชื่อข้อมูลเพียงด้านเดียว, การเอาหลักวิชาการหรือผลที่เกิดในห้องแล็ปมาประกาศิตความถูกผิด ประเด็นเหล่านี้หนัง Sully เอามาชวนให้เราคิดได้ในระดับหนึ่งครับผมชอบฉากซัลลีเดิน+วิ่งตอนกลางคืนในเมืองน่ะนะครับ อารมณ์มันเคว้งคว้าง เชื่อว่าใครก็ตามที่เคยเจอความสับสนจนไปไม่เป็นน่าจะเข้าใจอารมณ์ของกัปตันซัลลี ณ ขณะนั้นๆ ครับ บางทียามเจอเรื่องหนักใจ เราก็เดินเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย ขาพาไปไหนก็ไม่รู้… สติเคว้งน่ะครับในแง่รายได้ถือว่าสวยงามครับ ลงทุนประมาณ $60 ล้าน ได้คืนมา $240 ล้านจากทั่วโลก กำไรกำลังดีทีเดียวสรุปอีกทีว่าหนังมีดีน่าดูครับ