The Adventures of Sharkboy and Lavagirl เรื่องนี้เห็นมานานมากแต่ก็ไม่ได้ดูสักทีครับ อาจเพราะความสนใจมันไม่มากหรือไม่ก็อิ่มตัวแนวนี้ไปแล้วหลังจากดู Spy Kids มาหลายภาค แต่ที่เอามาดูนี่ก็เพราะวันก่อนได้ดู We Can Be Heroes ครับ แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเรื่องนั้นเป็นภาคต่อของเรื่องนี้ (เพราะมีตัวละครชาร์คบอยกับลาวาเกิร์ลไปโผล่ด้วย) ก็เลยย้อนหามาดู
หนังก็เป็นแนวผจญภัยแบบเด็กๆ น่ะครับ เอาเข้าจริงคือเด็กกว่า Spy Kids อีก กับเรื่องราวโลกแห่งความฝันของเด็กชายชื่อ แม็กซ์ (Cayden Boyd) ที่จินตนาการถึงตัวละครยอดมนุษย์อย่างชาร์คบอย (Taylor Lautner) และลาวาเกิร์ล (Taylor Dooley) แต่แล้วโลกแห่งความฝันก็โดนรุกรานครับ ทั้ง 2 ยอดมนุษย์เลยทะลุมิติมาตามให้แม็กซ์ไปช่วยกอบกู้สถานการณ์
หนังเป็นแนวแฟนตาซีแบบเด็กๆ ชนิดเต็มสูบครับ ช่วง 20 นาทีแรกก็เป็นการปูพื้น เล่าให้เราฟังว่าแม็กซ์ช่างฝันยังไง และตัวละครต่างๆ ในเรื่องก็จะมาบอกให้แม็กซ์เลิกฝันเฟื่องแล้วมาอยู่กับโลกแห่งความจริงซะ แล้วจากนั้นความฝันกับความจริงก็มาเจอกันครับ แม็กซ์ต้องร่วมผจญภัยกับตัวละครในฝัน ต้องทะลุมิติต่างๆ ไปสู้กับวายร้ายที่อยู่เบื้องหลัง
สำหรับผมหนังดูได้เรื่อยๆ ครับ ส่วนหนึ่งก็คงเพราะปรับใจก่อนดู กะแล้วว่าหนังจะมาประมาณนี้แหละ คือไม่เน้นเนื้อหาเหตุผล แต่เน้นจินตนาการ เน้นฉากหลากหลาย เน้น CG เต็มคราบ เน้นอะไรที่มันหลุดโลก เหล่าตัวเอกก็ต้องสู้แบบลุยด่าน ซึ่งอาจถือเป็นเรื่องดีที่มันเข้าทางผมครับ คือผมชอบหนังประเภททะลุมิติจินตนาการ ผมชอบดูว่าแต่ละมิตินั้นมันจะออกมาเป็นอย่างไร มันจะมีอะไรแปลกๆ รอเราอยู่ในนั้นบ้าง แล้วก็พอดีที่หนังมีหลากมิติให้เจอ มันเลยค่อนข้างดูเพลินสำหรับผม
แต่ถ้าใครไม่ชอบหนังแนวนี้ก็น่าจะผ่านไปได้เลยครับ มันไม่ใช่หนังแอคชั่นที่สมจริง มันไม่ได้ตื่นเต้นลุ้นระทึกอะไรมาก มันเหมือนการที่เราไปนั่งดูความฝันของใครสักคน หรือไปนั่งฟังคนเล่านิทานผจญภัยประเภทฟังง่ายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ หรือถ้าจะเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนเราเล่นเกมแนวน่ารักๆ น่ะครับ ให้ตัวละครผจญไปมิติต่างๆ ที่เต็มไปด้วยสีสัน เต็มไปด้วยศัตรูที่ดูน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว อะไรแบบนั้นน่ะครับ
แต่ถ้าว่าถึงความสนุกแล้ว ผมว่า Spy Kids 2 ภาคแรกจะลงตัวและเวิร์คกว่าครับ แล้วดูเหมือนหนังจะทำแบบเน้น 3D ด้วย เราเลยจะได้เห็นอะไรต่อมิอะไรพุ่งมาเต็มไปหมด (โดยเฉพาะอะไรที่พุ่งมาจากปากตัวละคร รู้สึกจะเจอบ่อยกว่าที่คิดแฮะ) ก็คิดง่ายๆ เลยครับ ถ้าท่านรับได้กับ Spy Kids ภาค 3 และ 4 เรื่องนี้ท่านก็น่าจะรับได้ครับ
อีกอย่างที่ชอบคือหนังใส่แง่คิดสำหรับเด็กลงมาแบบตรงๆ เลยครับ ใส่ผ่านปากตัวละครนี่แหละ ไม่ต้องตีความอะไรให้มากมาย อย่างประโยคที่ว่า “ฝันส่วนใหญ่มันไม่เป็นจริงได้เองหรอก เธอต้องพยายามกับมันหน่อยนะ” อะไรทำนองนี้
จริงๆ ผมว่าก็ไม่เลวนะครับ หนังอาจไม่ได้ดีเด่อะไร (และอันที่จริงถ้าจะทำให้มันมีอะไรมากกว่านี้ก็ได้) แต่มันก็ขึ้นกับว่าเราจะเลือกใช้มันอย่างเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเราดูแบบจริงจังหวังมันส์ก็อาจไม่ตรงเป้า แต่ถ้าเราดูกับลูกกับหลาน ดูแล้วคอยอยู่ข้างๆ คอยขยายเน้นย้ำแง่คิดดีๆ ที่หนังมอบให้ ให้พวกเขานั่งดูหนังผจญภัยที่พิษภัยน้อยสักหน่อย – มันก็สามารถเกิดประโยชน์ได้เหมือนกันครับ แม้ว่ามันจะไม่ใช่หนังที่เลิศล้ำอะไรก็เถอะ
ถ้าจะมีอะไรให้ติดอยู่ที่ใจก็คงเป็นเรื่องมิติตัวละครที่ออกจะแบนไปสักหน่อย อย่างตัวละครพ่อแม่ของแม็กซ์นี่เป็นบทสมทบเต็มๆ ทั้งๆ ที่ตัวคุณพ่อ (David Arquette) ที่ดูเหมือนจะมีปมเกี่ยวกับความเป็นผู้ใหญ่และการทำงาน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร หรือบทมิสเตอร์อิเลคทริค (George Lopez) ก็ดูเป็นอะไรที่ตามบทมากกว่า ทั้งที่จริงๆ ถ้าจะใส่ประเด็นลงไปอีกนิดก็น่าจะได้ – อย่างที่บอกน่ะครับว่าหนังยังใส่อะไรเพิ่มเติมให้หนังแน่นได้มากกว่านี้
สรุปว่าใครรู้ว่าไม่แนว ข้ามไปได้เลยครับ แต่ใครชอบหนังสไตล์นี้ก็จัดไป หรือจะเอาไปนั่งดูกับลูกก็ได้ ได้ทั้งความสนุก ได้ทั้งแง่คิดดีๆ – ผมไม่ปฏิเสธครับว่าหนังมันอาจดูง้องแง้งและเบาเหตุผล แต่ถ้ามองจากเจตนาในการทำของผู้กำกับ Robert Rodriguez แล้ว ผมว่าหนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ของมันได้อยู่ครับ ดูเอาสนุก ดูเอาเพลิน ดูเอาสีสันลูกกวาด เหมือนนอนหลับแล้วฝันแบบเด็กๆ ไปสักหนึ่งตื่น – แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบ ผมก็เข้าใจล่ะครับ เพราะหนังมันติงต๊องจริงๆ นั่นแหละ 555
เกือบสองดาวครับ
(5.5/10)