The Black Phone “ลัก” เด็กไปฆ่า ระทึกขวัญแบบชาญฉลาด

The Black Phone "ลัก" เด็กไปฆ่า ระทึกขวัญแบบชาญฉลาด
The Black Phone "ลัก" เด็กไปฆ่า ระทึกขวัญแบบชาญฉลาด

The Black Phone อาจจะฟังดูเป็นหนังระทึกขวัญ เด็กถูกฆาตกรลักพาตัวไปทรมานตามสูตรสำเร็จ แต่อันที่จริงแล้ว ภายใต้บริบทเดิมๆ หนังกลับแทรกสอดองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆ ลงไป จนทำให้หนังเรื่องนี้รายล้อมไปด้วยความเซอร์ไพรส์น่าตื่นเต้น จนเราอยากจะบอกว่า คอหนังสยองขวัญถ้าพลาดไป เสียดายแย่เลย

The Black Phone เป็นผลงานการกำกับของสก็อต เดอร์ริคสัน ซึ่งหนังที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา ก็คือหนังสยองขวัญชวนขนหัวลุกอย่าง Sinister ในปี 2012 แม้ว่าก่อนหน้านั้น เขาจะกำกับหนังแนวผีสิงร่างเหยื่ออย่าง The Exorcism of Emily Rose มาก่อนก็ตาม แม้ว่าเขาจะห่างหายจากการกำกับหนังสยองขวัญไปตั้งแต่ปี 2014 โดย Deliver Us from Evil อาจจะไม่ได้รับเสียงชื่นชมเท่าไหร่ แต่ในปี 2016 สก็อตก็มีโอกาสกำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่จากค่ายมาร์เวลเรื่อง Doctor Strange ก่อนจะไปดูแลงานเบื้องหลังงานอื่นอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง The Black Phone คืองานสยองขวัญแนวถนัดที่สก็อตอยากจะทำมันจริงๆ

สำหรับ The Black Phone เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นสยองขวัญจากหนังสือ 20th Century Ghosts ซึ่งรวมเอาบรรดาเรื่องสั้นผลงานการเขียนของ โจ ฮิลล์ (ลูกชายของราชานิยายสยองขวัญสตีเฟ่น คิง) โดยตัวผู้กำกับสก็อต เดอร์ริคสัน เคยเจอหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ช่วงปี 2005 สมัยวางแผงใหม่ๆ ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้จักโจ ฮิลล์ว่าเป็นใคร จนกระทั่งเมื่อเขาอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้จบ แล้วเขาก็ชื่นชมคนเขียนว่า เก่งจังเลย และมันเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจมากที่จะหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์

เวลาอาจจะผ่านล่วงเลยไปหลายปี แต่สก็อตก็ยังไม่เคยลืมเรื่องสั้นเรื่องนี้ และเขาเองก็ตั้งใจที่ดัดแปลงมันให้กลายเป็นภาพยนตร์ เขาได้มีโอกาสคุยกับมือเขียนบทคู่หูอย่างซี. โรเบิร์ต คาร์กิล เพื่อเอาวัตถุดิบจากเรื่องสั้นมาต่อยอดให้กลายเป็นบทภาพยนตร์ขนาดยาว

เรื่องราวของเด็กชายผู้เคราะห์ร้าย

ฟินนีย์เด็กชายวัย 13 ขวบ ถูกโจรลักพาตัวที่มีสมญานามว่า “จอมฉุด” ลักพาตัวไปอย่างอุกอาจ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข่าวคราวของการลักพาตัวเด็กๆในเมืองทางตอนเหนือของเดนเวอร์อยู่บ่อยครั้ง และเหยื่อที่โดนจับตัวไปมักจะเป็นเด็กชายในช่วงวัยกำลังโต ฟินนีย์ถูกจับไปขังอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านฆาตกรรายนี้ โดยความหวังในการจะหนีออกไปช่างริบหรี่และดูหมดสิ้นหนทาง จนกระทั่งโทรศัพท์สีดำที่ติดอยู่บริเวณผนังแต่ไร้สายสัญญาณเกิดดังขึ้น

ความน่าสะพรึงอยู่ที่ว่า ปลายสายเหล่านี้คือเสียงจากบรรดา “เหยื่อ” ที่ถูกฆาตกรรม กลายเป็นคนหายสาบสูญ ซึ่งวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้มาร้าย แต่พวกเขาพยายามจะส่งข่าวสารบางอย่างเพื่อให้ฟินนีย์เอาชีวิตรอดจาก “จอมฉุด” ให้ทันเวลา

ในโลกอาชญากรรมที่ผู้ใหญ่เป็นแค่เพียงบุคคลไร้ประโยชน์

ตามสูตรสำเร็จของหนังอาชญากรรมแนวลักพาตัว หรือฆาตกรต่อเนื่อง เหยื่อในเรื่องมักจะได้รับความช่วยเหลือจากนักสืบฝีมือดี หรือไม่ก็เป็นตำรวจที่พิทักษ์คุณธรรม ทว่าในหนังเรื่อง The Black Phone ตัวละครเหล่านี้กลับกลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ สวนทางกับตัวละครอย่างฟินนีย์เองที่พยายามจะเอาชีวิตรอด และได้รับความช่วยเหลือจากเสียงปลายสาย อันเป็นเสียงของเหล่าเด็กๆที่ตายไปแล้ว นอกจากนี้อีกหนึ่งตัวละครที่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญของฟินนีย์ ก็คือน้องสาวของเขาอย่างเกวน ที่มีพลังพิเศษในการถอดจิตเพื่อให้ตัวเองเห็นภาพนิมิตบอกเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และเธออาจจะเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยตำรวจค้นหาที่อยู่ของจอมฉุด ก่อนที่พี่ชายตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป

ฉากหลังของหนังที่เกิดขึ้นในยุคสมัยปี 70s บรรดาเด็กๆดูมีอิสระในการใช้ชีวิต พวกเขาสามารถเดินกลับบ้านอย่างมีความสุข ได้แวะทักผู้คนในละแวกบ้าน แต่ท่ามกลางความสุขเหล่านั้น อันตรายจากการลักพาตัวกลับเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ในขณะเดียวกันในยุคสมัยดังกล่าว ยังเป็นช่วงเวลาที่การกลั่นแกล้ง ทะเลาะเบาะแว้งในโรงเรียนเกิดขึ้นจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ กลุ่มเด็กชายต้องเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดในรั้วโรงเรียนตามเวรตามกรรม ความรุนแรงเหล่านี้คือสิ่งที่อยู่คู่กับยุคสมัย 70s

ในขณะเดียวกันในช่วงปลายยุค 70s เหตุการณ์สะเทือนขวัญเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเมสัน, นักรัดคอฮิลไซด์, ฆาตกรจักรราศี, ซัน ออฟ แซม, จอห์น เวย์น เกซีและเท็ด บันดี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้ผู้คนทั่วทั่งอเมริกาหวาดวิตกถึงเหตุร้ายเหล่านี้ จนกระทั่งช่วงทศวรรษ 1980s เหตุการณ์ฆาตกรรมเด็กๆ มักจะกลายเป็นข่าวพาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ผู้คนในสังคมและเด็กๆด้วยกันเองรู้จักชื่อของผู้วายชมม์ วิธีการที่เขาเสียชีวิต ลามไปจนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเหยื่อเลยด้วยซ้ำไป

สิ่งที่เกิดขึ้นใน The Black Phone แทบจะเป็นการรวบรวมบรรยากาศความทึมเทาและน่ากลัวจากยุคสมัยดังกล่าว พ่วงต่อด้วยเรื่องราวเหนือธรรมชาติว่าด้วย ตัวละครที่มีพลังพิเศษในการมองเห็นภาพนิมิต หรือตัวเอกอย่างฟินนีย์สามารถสื่อสารกับบรรดาเหยื่อที่ตายไปแล้ว เพื่อนำข้อมูลเล็กๆน้อย นำมาเป็นหนทางในการเอาชีวิตรอด

นอกจากนี้หนังยังพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับตัวร้าย จอมฉุด (อีธาน ฮอว์ค) นักมายากลที่พยายามซุกซ่อนใบหน้าของตัวเองภายใต้หน้ากากหลากหลายรูปแบบ โดยความวิปริตผิดเพี้ยนของตัวละครนี้ ได้รับการนำเสนอผ่านช่วงเวลาต่างๆของหนังได้อย่างลงตัว จนผู้ชมสัมผัสได้ถึงความอันตรายของตัวละครนี้

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชมจะได้เห็นการเติบโตของตัวละครเอกอย่างฟินนีย์จากเด็กขี้กลัว ได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นชายหนุ่มในเวลาต่อมา โดยที่เขาต้องผ่านบทเรียนสุดหิน นั่นคือการเอาชีวิตรอดจากฆาตกรโรคจิต เรียนรู้บทเรียนจากเหยื่อที่ตายไปแล้ว และรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เขามี สานต่อความฝันของเหล่าเด็กๆที่โดนฆ่าตายไปแล้ว ในการชำระแค้นจอมฉุดให้สาสม