The Ghost and the Darkness (1996) มัจจุราชมืด โหดมฤตยู

Untitled06542

ในปี 1898 ขณะนั้นอังกฤษกำลังแผ่ขยายอาณานิคมไปยังแอฟริกาโดยมีเยอรมันและฝรั่งเศสเป็นคู่แข่งสำคัญ ผู้พันจอห์น แพ็ตเตอร์สัน (Val Kilmer) เลยถูกส่งไปเพื่อคุมงานสร้างทางรถไฟที่ดินแดนซาโว แต่เมื่อเขาไปถึงก็ต้องพบกับอุปสรรคอันน่าสะพรึง เมื่อมีสิงโตคู่หนึ่งออกอาละวาด ฉายาของมันคือ มาร (The Ghost) และ ทมิฬ (The Darkness) มันเข่นฆ่าคนงานไปมากมายจนคนงานพากันหนีและไม่ยอมทำงานต่อ

ผู้พันแพตเตอร์สันเลยต้องหาทางรับมือกับพวกมันครับ โดยเขาร่วมมือกับชาร์ลส์ เรมิงตัน (Michael Douglas) จอมพรานผู้ช่ำชอง แต่สิงโตโหดคู่นี้ย่อมไม่ยอมโดนปลิดชีพโดยง่ายแน่นอน

เรื่องนี้จัดอยู่ในประเภทสัตว์โลกน่ารักได้เลยครับ เพราะว่าด้วยคนปะทะกับสัตว์ และหนังก็สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงโดย William Goldman ได้สร้างบทหนังเรื่องนี้โดยอิงจากหนังสือ The Man-eaters of Tsavo ที่เขียนโดยผู้พันแพตเตอร์สันเอง แต่ก็แน่นอนว่าหลายๆ อย่างก็ถูกเสริมเติมแต่งเข้าไปเพื่ออรรถรส อย่างจอมพรานเรมิงตันนั่นก็ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ครับ เป็นการเพิ่มเข้ามาเพื่อความเข้มข้นของเรื่องราว แต่เนื้อหาโดยหลักๆ อย่างการที่ผู้พันแพตเตอร์สันต้องสู้กับ 2 สิงโตโหดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

ตัวหนังจัดว่าน่าติดตามในระดับหนึ่งครับ ข้อดีอย่างหนึ่งคือหนังเล่าเรื่องแบบเนื้อๆ ไม่ค่อยมีช่วงอืดสักเท่าไร ตอนต้นๆ อาจมีช่วงช้าบ้างตอนที่ผู้พันแพตเตอร์สันไปถึงซาโวใหม่ๆ แต่พอถึงช่วงที่ผู้พันต้องเจอกับความโหดของ 2 สิงโตแห่งซาโวแล้ว ความสนุกก็เริ่มไหลมา เพราะสิงโตคู่นี้ร้ายกาจจริงครับ อีกทั้งพฤติกรรมก็ยังดูน่ากลัวเหนือกว่าสิงโตทั่วไป ไม่ว่าจะการล่าที่มาเป็นคู่ หรือการฆ่าคนเป็นผักปลา (ไม่ได้ฆ่าเพื่อเป็นอาหารเพียงอย่างเดียว) ซึ่งยิ่งสิงโตคู่นี้ร้ายเท่าไร ความน่าติดตามก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเราก็อยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปลงเอยอย่างไร สิงโตคู่นี้จะโดนปราบได้ไหม

Kilmer และ Douglas รับบทได้อย่างพอเหมาะครับ Kilmer ก็ดูเป็นคนเก่งคนกล้า ท่าทางดูภูมิฐานมีการศึกษา คิดว่าอะไรๆ จะเป็นไปตามกำหนดการที่เขาวางไว้ แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าจะต้องมาเผชิญกับสิงโตที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้ ส่วน Douglas ก็ดูเป็นนายพรานที่มีความคิดนอกกรอบไม่ค่อยเหมือนใคร ทำให้คาแรคเตอร์ของเรมิงตันดูน่าสนใจและเพิ่มสีสันให้กับเรื่องราวได้พอสมควร และิอีกคนที่เพิ่มรสชาติให้กับหนังก็คือ John Kani ในบทแซมมวล ชนพื้นเมืองที่คอยประกบช่วยเหลือผู้พันแพตเตอร์สันมาตั้งแต่เริ่ม

The Ghost and the Darkness

ถือเป็นหนังสัตว์โลกน่ารักที่ดูมีระดับครับ เพราะดาราดี การแสดงดี บทก็ถือว่าชวนติดตามพอตัว ลีลาการปะทะกันระหว่างคนกับสิงโตก็ถือว่าน่าพอใจ ผมชอบที่หนังค่อยๆ สาธยายแจกแจงให้คนดูคุ้นเคยกับตัวละครทั้ง 2 ฝั่ง (หมายถึงฝั่งคนและฝั่งสิงโต) บอกเล่าผ่านภาพและเรื่องราวให้เรารู้จักกับผู้พันแพตเตอร์สันกับเรมิงตัน รู้ว่าแต่ละคนเป็นคนแบบไหน บุคลิกเป็นอย่างไร ส่วนฝั่งสิงโตนั้นนอกจากจะเล่าผ่านพฤติกรรมอันน่าสะพรึงของพวกมันแล้ว หนังยังทำสำเร็จที่ทำให้เราตระหนักว่าสิงโตคู่นี้ร้ายกาจเหนือธรรมดา มีความฉลาดพอสมควร

การขับเคี่ยวต่อกรระหว่างคนกับสัตว์เลยออกมาสนุกครับ เพราะคนก็เก่งและสิงโตก็ร้ายกาจ แม้ผลที่ได้ออกมาอาจไม่ถึงกับสุดๆ หรือลุ้นทุกลมหายใจ แต่ก็ถือว่าทำได้น่าติดตาม มีวาระให้ลุ้นและใจเต้นอยู่หลายหนเหมือนกัน

ถือเป็นงานกำกับที่น่าจดจำเป็นอันดับต้นๆ ของ Stephen Hopkins ครับ… แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้คือผลงานของเขาได้อย่างเต็มปากหรือไม่ เพราะสิ่งที่หลายท่านอาจยังไม่ทราบก็คือเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องนี้นี่เต็มไปด้วยอุปสรรคและปัญหา เริ่มจากการที่กองถ่ายไปถ่ายกันที่แอฟริกาจริงๆ ซึ่งระหว่างถ่ายทำนั้นทีมงานต้องเจอปัญหาสารพัด ไม่ว่าจะงู, แมงป่อง, ฮิปโปไล่ทำร้ายคน, พิษไข้ บางคนก็เกือบโดนฟ้าผ่า ไหนจะฝนที่วันดีคืนดีก็ตกแบบไม่ลืมหูลืมตา แล้วยังมีพายุฟ้าคะนองอีก ทีมงานบางคนก็จมน้ำไป เรียกว่าอุปสรรคมีมากเหลือเกินครับ แต่นั่นยังไม่หมดนะครับ

อุปสรรคต่อมาคือเรื่องการทำงาน คือแรกเริ่มเดิมทีบทจอมพรานเรมิงตันนั้นมีการทาบทามให้ดาราอย่าง Sean Connery, Anthony Hopkins และ Tom Cruise มารับบท แต่ทุกคนบอกปัดหมดครับ จนสุดท้าย Douglas ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่เริ่มก็ตัดสินใจโดดมารับบทเอง แต่ทีนี้ปัญหาก็เกิดครับ เพราะจริงๆ บทจอมพรานเรมิงตันนั้นจะมีไม่มาก ตัวละครนี้จะกึ่งๆ เป็นเหมือนตัวละครในตำนานที่โผล่มาเดี๋ยวเดียวเท่านั้น แต่พอ Douglas มาแสดง เขาก็ใช้ความเป็นผู้อำนวยการสร้างบอกให้เพิ่มบทเรมิงตันลงไปให้เยอะขึ้น ซึ่งทั้ง Goldman และ Hopkins ต่างก็ไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ ต้องยอมตามไป

แต่ที่ Hopkins หนักใจที่สุดคือพอหนังต้องเพิ่มบทให้เรมิงตัน เลยทำให้โครงเรื่องเดิมที่เขาวางไว้โดนตัดออกไปกว่า 40 นาที เพราะดั้งเดิมนั้นหนังจะเล่าความร้ายกาจของสิงโตคู่โหดมากกว่านี้ครับ แต่พอบทเรมิงตันเกิดเยอะขึ้นมา เรื่องราวส่วนที่บอกเล่าความโหดของสิงโตคู่นี้เลยโดนลดทอนลงไป

ว่ากันว่า Hopkins เองเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าประสบการณ์การทำงานหนังเรื่องนี้ถือเป็นฝันร้ายสำหรับเขาเลยล่ะครับ และเขาก็ไม่พอใจกับผลงานชิ้นนี้สักเท่าไร เพราะมันไม่ตรงกับสิ่งที่เขาอยากถ่ายทอดออกมาจริงๆ

Untitled06541

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หนังก็ออกมาเป็นหนังแล้วน่ะนะครับ และแม้ผู้กำกับ Hopkins จะไม่พอใจนัก แต่หากพูดกันในฐานะคนดูแล้ว ผมว่าหนังเรื่องนี้จัดว่าดีครับ ทำออกมาได้น่าติดตามและมีความเข้มข้นพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับครับว่ามันอาจจะยังไม่สุด ทว่าถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้ควรค่าแก่การดูสักครั้งไหม ผมก็ว่าควรค่าอยู่ครับ เพราะแม้หนังจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยดาราก็ดี การเดินเรื่องก็กระชับฉับไว มีความตื่นเต้นพอประมาณ ถือเป็นหนังสัตว์โลกน่ารักที่ทำออกมาได้ดีอีกเรื่องหนึ่งสำหรับหนังแนวนี้ครับ

เกร็ดจากหนังที่น่าพูดถึงอย่างหนึ่งก็คือ Val Kilmer เข้ามาร่วมงานกับหนังเรื่องนี้หลังจากที่เขาเคยเจอประสบการณ์เลวร้ายระดับโลกแตกเมื่อตอนที่เขาแสดงในเรื่อง The Island of Dr.Moreau ซึ่งตอนนั้นข่าวบอกว่าพฤติกรรมในกองถ่ายหนังเรื่องนั้นของ Kilmer ไม่น่ารักเลย (จริงๆ มีข่าวว่า Kilmer ไม่น่ารักมาตั้งแต่ตอนเล่นเป็นแบทแมนใน Batman Forever แล้ว) แต่ตอนทำหนังเรื่องนี้ผู้กำกับ Hopkins กลับเป็นฝ่ายออกมาชื่นชมครับว่า Kilmer ทุ่มเทและตั้งใจทำงานให้กับหนังเรื่องนี้มาก (Hopkins ใช้คำว่า Kilmer มี Passion ในการทำงานสูงครับ) ซึ่งถ้าดูจากผลงานแล้วก็ต้องยอมรับครับว่า Kilmer ดูไปได้ดีกับบทนี้จริงๆ ครับ

และนี่ถือเป็นงานแสดงหนังใหญ่เรื่องแรกของ Emily Mortimer ด้วยครับ เรื่องนี้เธอแสดงเป็นเฮเลน่า ภรรยาของผู้พันแพตเตอร์สันครับ

ตัวหนังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ครับ เพราะลงทุนไป $55 ล้าน แต่ได้คืนมาจากทั่วโลกราวๆ $75 ล้าน ก็ติดตัวแดงไปพอสมควรครับ แต่อย่างน้อยตอนออกวีดีโอก็พอจะได้ทุนคืนบ้าง

สำหรับการแง่ของตัวหนังแล้ว ถือว่าน่าลองลิ้มสักคราครับ แม้จะไม่สุดยอดในระดับที่ห้ามพลาด แต่ก็ถือเป็นหนังสัตว์โลกน่ารักยุค 90 ที่ทำออกมาได้ดีพอตัว แต่ผมก็ยังคิดๆ น่ะนะครับว่าที่หนังออกมาโอเคนั้นควรจะยกความดีให้ใครดี เพราะแม้ชื่อผู้กำกับจะเป็น Hopkins แต่ Hopkins เองก็ไม่ได้สิทธิ์ในการตัดต่อหนังในขั้นสุดท้ายครับ ในขณะที่คนที่มีส่วนในการตัดหนังขั้นสุดท้ายออกมาก็คือ Douglas (ที่ตัดเอาเส้นเรื่องที่ Hopkins เล่าไว้ออกไปประมาณ 40 กว่านาที แล้วเติมฉากที่ตนเองแสดงลงไปแทน)

ดังนั้นในแง่หนึ่ง ผลลัพธ์ของหนังก็สำเร็จออกมาด้วยฝีมือการถ่ายทำของ Hopkins โดยที่ Douglas มีส่วนในการเรียบเรียง (โดยที่ Hopkins ไม่เต็มใจ) แล้วหนังมันก็ดันออกมาโอเค… เอาเป็นว่ายกความดีความชอบให้พวกเขาไปก็แล้วกันครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)