The Gray Man นักฆ่าหน้าเบื่อโลก 006 (เพราะ 007 มีคนใช้ไปแล้ว) โดย ก้อง ฤทธิ์ดี

The Gray Man นักฆ่าหน้าเบื่อโลก 006 (เพราะ 007 มีคนใช้ไปแล้ว) โดย ก้อง ฤทธิ์ดี

หนังแอคชั่นฟอร์มใหญ่ของ Netflix เรื่อง The Gray Man ออกฉายในช่องสตรีมมิ่งสัปดาห์ที่แล้ว และเปิดฉายในโรงภาพยนตร์บางโรงในอเมริกาด้วย เพราะนี่เป็นหนังที่ Netflix หมายมั่นจะใช้เรียกความมั่นใจกลับมาหลังสถานการณ์ผู้สมัครใช้บริการลดลงจนเป็นข่าวใหญ่ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้

ถามว่าเรียกแขกได้มั้ย ก็คงได้ เพราะหนังใช้สองดาราดังเป็นแม่เหล็ก ไรอัน กอสลิ่ง ในบทนักฆ่าหน้าท้องผูก และ คริส เอแวนส์ ในบทผู้ร้ายโรคจิต เสริมกำลังด้วยดาราสาวที่กำลังงานชุก อานา เดอ อามาส (ล่าสุดเราเห็นเธอใน เจมส์ บอนด์ No Time To Die) แถม The Gray Man ยังเป็นโปรเจคท์ของสองผู้กำกับพี่น้องตระกูลรุสโซ ที่ดังมาจากการสร้างสีสันและความอลังการในฉากบู๊ให้กับจักรวาลมาร์เวล เอาเป็นว่าเล่นใหญ่ขนาดนี้ ไม่ดังก็ให้มันรู้ไป

แต่ลางเนื้อชอบลางยา ผู้เขียนดีใจที่ได้ดู The Gray Man ในจอทีวี เพราะถ้าดูโรงคงยิ่งผิดหวังมากกว่านี้ ถ้าเอาแบบมาตรฐานดาด ๆ หนังก็สนุกโครมครามพอใช้ได้ มีฉากแอคชั่นบ้าคลั่งวินาศสันตะโรให้เสพ พีน้องรุซโซเล่นใหญ่ เพราะเล่นเล็กไม่เป็น และเพราะ Netflix ให้เงินเว่อร์วังถึง 200 ล้านดอลล่าร์เป็นทุนสร้าง ดูไปพอสไป ก็พอทำให้ผ่านพ้นค่ำคืนวันเสาร์ไปได้อย่างไม่ตะขิดตะขวง

The Gray Man เป็นเสมือนหนังบู๊หลาย ๆ เรื่องที่เราคุ้นเคยเอามาขยำรวมกัน เขย่า ๆ ใส่สีสด ๆ เข้าไป เติมด้วยบทพูดเล่นมุกยอกย้อน ตัวพระเอกชื่อ ซิกส์ (Six) ที่ไรอัน กอสลิ่งเล่น ก็ถอดแบบมาจากสายลับที่เราเห็นมาเยอะแล้ว หลัก ๆ คือเจมส์ บอนด์ แถมหนังยังแสร้งล้อตัวเองปนกลบเกลื่อนว่าพระเอกต้องชื่อ Six ก็เพราะ 007 มีคนใช้ไปแล้ว เรื่องการโดนหักหลังโดยหน่วยงานลับของตัวเองก็ไม่เข้มข้นเท่าหนังชุด The Bourne Identity ส่วนประเด็นที่พระเอกมีปมอยากปกป้องเด็กสาวผู้อ่อนแอก็แสนเชย ไล่กลับไปได้ถึง Leon และหนังแมน ๆ ที่อยากโชว์ความละเอียดอ่อนอีกไม่รู้กี่เรื่อง ส่วนพล็อตที่คุยไว้ว่าเป็นหนังสปายหักเหลี่ยมผสมหนังแอคชั่น เอาเข้าจริงไม่ได้มีความซับซ้อนใด ๆ ทุกอย่างเล่าตรงไปตรงมา ผู้ร้ายก็เห็นว่าเป็นผู้ร้ายแต่หน้าประตู ทั้งตัวคริส เอแวนส์ และ เรเก้ ฌอง-เพจ ที่ดังมาจากซีรี่ส์ Bridgerton ส่วนความเป็นหนังสปาย ต้องล้วงข้อมูลความลับอะไรนั้นไม่มีเอาเสียเลย

ที่เด่นหน่อยคือ อานา เดอ อามาส ในบทสายลับนักบู๊ ทั้งเตะต่อยต่อสู้กับบรรดาสมุนผู้ร้ายจอมโหด และใช้อาวุธหนักไล่ถล่มผู้ร้ายไม่ไว้หน้า ใน No Time To Die เธอได้ออกน้อยไปหน่อย มาในเรื่องนี้ เดอ อามาส ประกาศศักดาเลยว่าเธอเป็นสาวหน้าหวานที่ลุยแหลกได้ในทุกสมรภูมิ

 ไรอัน กอสลิ่ง แสดงเป็นนักโทษที่ถูกหน่วยงานลับของ CIA เลือกมาเป็นมือสังหาร เปิดมาเราเห็น ซิกส์ กำลังปฏิบัติการเก็บเป้าหมายในกรุงเทพ (เป็นกรุงเทพ ที่ดูไม่ค่อยกรุงเทพ เว้นตอนที่ซิกส์ไปขโมยรถตุ๊กตุ๊ก ขับหนีไปเชียงใหม่ นายแน่มาก) ก่อนจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วหัวหน้าหน่วย CIA ของเขาซ่อนความลับไว้ในธัมป์ไดรฟ์ (เชยไปมั้ย) อันนำมาซึ่งการที่ซิกส์โดนตามล่าโดยฝูงผู้ร้ายและทหารรับจ้างนับร้อย จนต้องระเห็ดหนีไปหลายประเทศ ทั้งฮ่องกง เบอร์ลิน เวียนนา ปราก และเกาะในโครเอเชีย ทุกเมืองก็ต้องมีฉากไล่ล่า ถล่มเมืองไล่ยิงตึกให้ราบเพื่อความสะใจ ที่สนุกสุดก็คงเป็นฉากต่อสู้บนรถรางที่กำลังวิ่งอยู่กลางกรุงปราก

การดีไซน์ฉากต่อสู้ก็ตื่นเต้น เว่อร์ และไม่ต้องแคร์เหตุผลใด ๆ ทั้งตอนที่ซิกส์ต้องโดดหนีจากเครื่องบินที่กำลังไฟไหม้ หรือฉากยิงกันในเมืองต่าง ๆ ไม่นับการที่ซิกส์ราวกับจะมีของขลังแบบขุนพันธ์ ที่ทำให้โดนยิงโดนแทงเท่าไหร่ก็ยังมีแรงสู้ไม่ถอย ตรงนี้ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตุว่า ทำไมเราถึงไม่คล้อยตามความไร้เหตุผลของหนังเหล่านี้เมื่อเปรียบกับความไร้เหตุผลพอ ๆ กันของหนังอย่างเจมส์ บอนด์ หรือหนังชุดเจสัน บอร์น?

คำตอบคือ เพราะหนังไม่ได้ทำให้เราเชื่อในตัวละครซิกส์ ไม่ได้ทำให้เราเห็นปูมหลังหรือเข้าใจปมทางจิตใจของตัวละคร หรือไม่ได้สร้างเงื่อนไขให้การหนีเอาชีวิตรอดของตัวเอกดูเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และไม่ได้ทำให้เขาดูมีชีวิตจริง ๆ นี่เป็นอีกครั้งที่ ไรอัน กอสลิ่ง รับบทผู้ชายที่ทำหน้าเหน็ดเหนื่อยกับความเป็นไปของโลก ทั้งปล่อยวางและทั้งยอมรับในชะตาชีวิตอันโหดร้ายของเขา  (ลองนึกถึง Only God Forgives ที่ถ่ายทำในกรุงเทพเช่นกัน หรือแม้แต่ La La Land) แต่เพราะบทหนังของ The Gray Man ไม่มีเวลาหรือไม่สนใจจะทำให้ตัวละครนี้มีอะไรลึก ๆ มากกว่าที่เห็น และใช้เวลากับการสร้างฉากไล่ล่าต่อเนื่องกันจนตัวละครจมหายไปในซากปรักหักพังของการไล่ยิงกัน

เอาเป็นว่า ดูได้ครับแบบ “ไม่ต้องคิดมาก” ครับ ปกติก็ไม่คิดครับ แต่พอเริ่มคิดเท่านั้นล่ะ …