The Letter For The King สารลับถึงราชา แฟนตาซีวัยใสที่ยังทำได้ไม่ถึงขั้นแก่นหลักของ The Letter for the King จะเป็นเรื่องราวของความดีชนะความชั่ว ตามแบบแฟนตาซีตะวันตกในยุคเก่า พวกนิทานปรัมปรา เพราะจริงๆ แล้วซีรีส์เรื่องนี้ ดัดแปลงมาจากนิยายของชาว Dutch ที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1962 หรือประมาณ 58 ปี ที่แล้ว โดยเนื้อเรื่องจะดำเนินผ่านตัวละครหลัก ทิวรี่ อัศวินฝึกหัดชาวเอวิเอเลน (ชนเผ่าแม่มดหมอผี) ที่ถูกอัศวินชั้นสูงเก็บมาเลี้ยง กำลังจะเข้ารับการสอบเพื่อเป็นอัศวิน แต่เขาดันไปเจอเรื่องไม่คาดฝันในการสอบ เมื่ออัศวินชื่อดังฝากฝังจดหมายสำคัญให้กับเขาเพื่อไปส่งให้ถึงมือของราชา ก่อนที่หายนะจะมาเยือนยังอาณาจักรแห่งนี้ตามคำทำนายบอกตามตรงว่าตัวอย่างดูดี และน่าดูมาก ทำให้คาดว่าอาจจะมีซีซั่นต่อ แต่พอดูจบแล้วกลับรู้สึกผิดหวังกว่าที่มันควรจะเป็น สิ่งที่ดีงามในเรื่องนี้ต้องยกให้เรื่องฉากที่สวยงาม กับโปรดักชั่นงานสร้างที่จัดเต็มเสียมากกว่าเริ่มเรื่องมาเราจะได้เห็นทิวรี่ เด็กหนุ่มผู้ที่ไม่เอาไหนในเรื่องการฝึกเพื่อเป็นอัศวิน ทั้งความสามารถในการต่อสู้ที่ด้อยกว่าผู้เข้าสอบคนอื่นทุกคน ซึ่งถ้าเป็นตัวละครหลักในนิยายแฟนตาซีเรื่องอื่นๆ อาจจะมีความเก่งด้านใดด้านหนึ่ง แต่พระเอกเราไม่มีสิ่งเหล่านั้น แต่มีความพิเศษนั่นก็คือสายเลือดพ่อมดหมอผีที่ไหลเวียนในตัวเขา ทำให้เขาเห็นนิมิต และเสียงกระซิบของบางอย่างอยู่ตลอดจนทำให้เขาได้รับจดหมายสำคัญถึงองค์ราชา ที่อัศวินชื่อดังต้องปกป้องมันด้วยชีวิตเพื่อให้ทิวรี่ส่งมันไปให้ถึงมือของราชาตัวละครหลายตัวในเรื่องค่อนข้างมีเสน่ห์และจดจำง่าย จะแบ่งได้เป็น กลุ่มเด็กผู้เข้าสอบอัศวินรุ่นเดียวกับพระเอกของเรา ที่ต้องตามล่าหาตัวทิวรี่เพราะว่าเขาดันไปพังการสอบ ทำให้ต้องอดเป็นอัศวินกันหมด เพื่อที่จะหาข้อต่อรองเรื่องการสอบเป็นอัศวินใหม่ จึงต้องตามล่าหาตัวเขา เช่น จุสซิโป ผู้ที่เป็นเหมือนแจสเคียร์ใน The Witcher ที่คอยร้องเพลงและเล่นลูทไปตามทาง ไอโอน่า เด็กสาวหน้าหมวยที่แต่งชุดเหมือน เรย์ ในสตาร์วอรส์ อาร์มาน เด็กหนุ่มหัวทึบที่ชอบแสดงออกโง่ๆ เหมือนไจแอ้นในเรื่องโดราเอม่อนแม้ว่าแต่ละคาแรคเตอร์จะเป็นที่น่าจดจำง่าย แต่รู้สึกว่า ทั้งตัวพระเอก และตัวรองเหล่านี้ มีมิติของตัวละครที่แบนราบเรียบ ไม่ค่อยมีด้านที่แบบว่าเทาๆ ดีหรือร้าย ทำให้การดำเนินเรื่องมันค่อนข้างเป็นเส้นตรง และเป็นการเดินทางผ่านพื้นที่ต่างๆ จากอีกเมืองนึง ผ่านหุบเขา ไปยังอีกเมืองนึง เพื่อส่งสารลับอีกตัวละครหนึ่งที่น่าสนใจคือ ลูกสาวเจ้าเมือง ลาวิเนีย รับบทโดย Ruby Serkis ลูกสาวแท้ๆ ของเจ้าพ่อโมแคปผู้รับบทดังอย่าง ซีซาร์ ใน The Planet of The Ape และบท Gollum ใน The Lord of The Ring อย่าง Andy Serkis ซึ่งในเรื่องนี้ เขาก็ได้มารับบทเป็นพ่อของลูกสาวตัวเองจริงๆ เสียด้วย เป็นดาราเบอร์ใหญ่ที่มารับเชิญและสร้างสีสันให้เรื่องราวมากเลยทีเดียวสิ่งที่น่าสนใจที่ตัวอย่างซีรีส์ไม่ได้เฉลย และแอบซ่อนไว้นั่นก็คือ การใส่ความแฟนตาซีในเรื่องเวทมนต์เข้าไป ที่เราอาจจะคาดหวังได้ว่ามันเป็นตัวชูโรงและสีสันให้กับเรื่องนี้แน่ๆ แต่สุดท้ายทุกอย่างมันดูง่ายดายเกินไปหมด จนจบไปแบบ พลังมิตรภาพชนะทุกสิ่งตามสไตล์หนังเด็ก เรต13+ ไปแบบ ซะงั้นซึ่งในเรื่องเวทมนต์ สิ่งที่เป็นตัวชูโรงและความแฟนตาซีของเรื่องมีการหักมุม ที่ชวนให้แปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่ามันดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงมาเรื่อยๆ แต่กลับใส่จุดหักมุมที่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์ และคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ ในตอนต่อไป แต่นั่นก็ปาเข้าไปตอนที่ 5 ซึ่งเรื่องนี้มีทั้งหมด 6 ตอน และจบในซีซั่น ไม่มีอะไรให้พูดถึงต่อมากนัก ไม่มีปมปัญหา ไม่มีแก่น หรือความลับอะไรถูกเปิดเผย และไม่ค้างคาใจอะไรทั้งนั้น จบสมบูรณ์ในตัวตัวร้ายในเรื่องนี้ขอบอกตามตรงว่า มูลเหตุจูงใจมันดูกลวงๆ คลุมเครือไม่ค่อยเฉลยอะไรเรามาก แต่ก็พอจับใจความได้ว่าต้องการทำให้คำทำนายเป็นจริง และเรื่องก็ไม่เฉลยอะไรมากเกี่ยวกับพลังที่น่ากลัวของตัวร้ายหลัก ที่เป็นคนส่งจดหมายลับนี้ไปยังหัวเมืองต่างๆ 5 ฉบับ แต่มีฉบับหนึ่งที่ถูกชิงไปจนตกไปอยู่ในมือของพระเอกเรานั่นเอง ซึ่งในพาร์ทเฉลยความลับของจดหมาย มันก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกว้าวเสียเท่าไหร่ เหตุผลมันดูธรรมดามาก แต่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง และในพาร์ทการเมืองมันก็ไม่ได้ซับซ้อน หักเหลี่ยมชิงอำนาจอะไรกัน แต่เป็นแค่เหคุผลง่ายๆ แค่อยากขึ้นครองตำแหน่งกษัตริย์สิ่งที่ดีงาม และต้องยกเครดิตให้กับเรื่องนี้เลยก็คือด้านโปรดักชั่นที่สูง ทำให้แต่ละฉากออกมาสวยงาม ทั้งฉากบ้านเมือง ธรรมชาติ รวมไปถึง CG Effect ต่างๆ ที่ดูดีมาก และที่ต้องขอยกนิ้วให้เลยนั่นก็คือ การแสดงของม้าประจำตัวพระเอก ที่ดูตัวใหญ่ สง่า น่าเกรงขาม แถมยังเป็นม้าที่ฉลาดสุดๆ อีกต่างหาก (ฉลาดเกินม้าทั่วไปภายในเรื่อง เหมือนมีความรู้สึกนึกคิดแบบคน แต่ในเรื่องก็ไม่ได้เฉลยซะงั้น)โดยรวมแล้ว The Letter for the King สารลับถึงราชา เป็นซีรีส์ที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง และด้วยเรตผู้ชม 13+ แทบจะเป็นหนังเด็ก ต้องขอบอกเลยว่ามันทำให้เรื่องราวต่างๆ ภายในเรื่องมันเบาสมอง และดูง่ายเอามากๆ ไม่ต้องปวดหัว กดดันอะไรมากมายแบบ Game of Throne หรือ Witcher แต่ก็ยังมีความลุ้น สนุก ตื่นเต้น แม้ตอนจบ หรือตอนเฉลยปมต่างๆ หรือจุดพลิกผันมันไม่ค่อยจะเป็นที่จดจำสักเท่าไหร่ แต่โดยรวมคือทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะด้านงานสร้างที่จัดเต็มแบบสุดๆ ซึ่งอาจจะมีภาคต่อเป็นซีรีส์ที่ชื่ออื่นก็เป็นได้ (เพราะหนังสือในซีรีส์นี้ของคนเขียนเดียวกันยังมีต่อ) และด้วยความยาว 6 ตอน ซีรีส์เรื่องนี้ก็เหมาะสำหรับเอาไว้ดูในวันที่ต้องการพักผ่อนแบบไม่ต้องคิดอะไรมากก็ดีทีเดียว