The Lost Daughter ดราม่าจิตวิทยาตรึงอารมณ์สุดหมองหม่นส่งท้ายปี

(ลูกสาวที่สาบสูญ) ภาพยนตร์แนวดราม่าจิตวิทยา ที่เขียนและกำกับโดยแม็กกี้ จิลเลนฮาล (พี่สาวของเจค จิลเลนฮานนักแสดงนำจาก The Guilty)  อิงจากนวนิยายชื่อเดียวกันโดยเอเลน่า เฟอร์รานเต นำแสดงโดย โอลิเวีย โคลแมน. เจสซี่ บัคลีย์, ดาโกต้า จอห์นสัน, เอ็ด แฮร์ริส, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด, พอล เมสกัล ในภาพยนตร์สุดสะเทือนอารมณ์คนเป็นผู้หญิงและเป็นแม่ทุกคน

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับแรกของแม็กกี้ที่ใด้ฉายใน 78th Venice International Film Festival ฟาดรางวัลมากมายจากเวทีภาพยนตร์ทั่วโลก ก่อนจะถูกเน็ตฟลิกซ์ซื้อมาฉาย และได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกอย่างล้นหลาม หลายคนบอกว่ามันจะเป็นภาพยนตร์สุดหม่นที่เหมาะส่งท้ายปี 2021 จริง ๆ มันจะดีอย่างที่นักวิจารณ์หลายคนว่าไว้สำหรับผมหรือเปล่านะ

ตัวอย่าง The Lost Daughter (ลูกสาวที่สาบสูญ)

รีวิว The Lost Daughter (ลูกสาวที่สาบสูญ)

วันหยุดพักผ่อนริมทะเลอันแสนสงบของผู้หญิงคนหนึ่งสั่นคลอนด้วยคลื่นอารมณ์ เมื่อเริ่มหมกมุ่นกับคุณแม่วัยสาวซึ่งพักอยู่ในละแวกใกล้บ้าน ที่มาปลุกเร้าความทรงจำในอดีต ผ่าน เลด้า อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ใช้เวลาหยุดพักผ่อนยาวที่ประเทศกรีซในเมืองเล็ก ๆ ที่มีอิทธิพลมืดเข้าครอบงำด้วยการก่อกวน เธอได้พบกับนีน่า หญิงสาวผู้ไม่ค่อยมีความเป็นแม่และลูกสาวของเธอที่ทำให้เธอรู้สึกเชื่อมโยงอย่างแปลก จนทำให้เธอทำบางสิ่งที่สั่นคลอนทั้งเมืองและอดีตของเธอที่เธอพยายามเก็บซ่อน และคนรอบตัวที่ปฏิบัติกับเธออย่างดีจนไม่น่าไว้ใจ การพักผ่อนริมทะเลครั้งนี้อาจเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาแห่งบทกวีอันบอบช้ำ และความเป็นแม่ที่ถูกยึดโยงด้วยคำว่าลูก ก่อนจะถูกคลื่นซัดโหมกระหน่ำและย้ำเตือนให้เธอต้องระวังตัว ถึงภัยบางอย่างที่จ้องเล่นงาน ในขณะที่เธอต้องสะท้อนจิตใจตัวเองเพื่อค้นหาทางออกจากความเศร้าหมองของลูกสาวที่หายไป ซึ่งแทบมองไม่เห็นบทสรุปเลยว่า เธอจะสามารถแก้ไขเรื่องราวนี้ยังไง เพราะขนาดเธอนั้นยังไม่เข้าใจหรือไว้ใจในตัวเองเลยสักนิด

เรื่องราวอื่นที่น่าสนใจ

รีวิว Swarm อเมริกันไซโคเด็กสาวผิวดำ Gen Z (ไม่สปอยล์)

รีวิว Carnival Row SS2 ไฟนอลซีซั่นที่คงคุณภาพงานทุกอย่างไว้ได้เป็นอย่างดี (ไม่มีสปอยล์)

เรื่องราวถูกบอกเล่าอย่างเนิบช้าไม่ได้โฉ่งฉ่างหรือเร่งรัด ค่อย ๆ พาเราสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวของตัวละครหลัก สลับกับแฟลชแบ็คและเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง คอยกระตุ้นให้เราอยากติดตามเนื้อเรื่องต่อไปโดยไม่สนใจว่ามันจะมีจุดพีคมั้ย ใช่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีจุดพีคอะไรเลย มีแค่การเล่าความรู้สึกอารมณ์ผ่านบทสนทนา กวี และการกระทำที่แทบหาความเมคเซนส์ไม่ได้กระทั่งดูจบ เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์อินดี้จิตวิทยาที่พูดตรง ๆ ว่าดูจบแล้วใครจะชอบ จะเกลียดเลยก็ยังได้ เพราะหนังไม่ได้เป็นหนังแนวเร้าอารมณ์ แต่ค่อย ๆ เข้าไปสำรวจจิตใจของตัวละครหลักและสิ่งที่เธอแสดงออกมาอย่างเสแสร้งและย้อนแย้ง สลับกับบรรยากาศของเรื่องที่ทั้งตึงและหม่นหมองตลอดสองชั่วโมง ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกหลอนหลอกทั้งที่มันไม่ใช่หนังระทึกขวัญด้วยซ้ำ แต่เป็นหนังดราม่าเล่าชีวิตและการกระทำที่สวนทางของผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองที่ทุกคนต่างก็มีความลับ และมองตัวละครเอกหญิงเป็นแค่คนนอกและผู้ใหญ่ที่มีปัญหาก็แค่นั้น

ตัวละครในเรื่องมันมีความซับซ้อนทางอารมณ์ที่ทำให้เรารู้สึกกลัวตัวละคร และเราก็รู้สึกเห็นใจในเวลาเดียวกัน อย่างเลด้า หญิงวัย 48 ปี ที่มาท่องเที่ยวเพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายในปัจจุบัน และในอดีต ก่อนจะพบเรื่องที่หนักหนาทางจิตใจมากกว่าเดิม เธอจะค่อนข้างเหมือนคนทั่วไปไม่ได้มีปัญหาอะไร เว้นแต่การแสดงออกของเธอที่คาดเดายากว่าเธอรู้สึกยังไง บางครั้งเธอก็ดูเป็นมิตร แต่ก็มีความลับปิดบัง บางครั้งเธอก็ดูเสียสติ แม้จะเปิดเผยหมดทุกอย่าง ทำให้เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าผู้หญิงอารมณ์แปรปรวนคนนี้คิดจะทำอะไรต่อไป ยิ่งมีการที่เธอมีความสามารถในทางวรรณคดีและบทสนทนาของเธอมันก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเธอพยายามสื่อสารให้เราเข้าใจ แต่เราก็คงไม่เข้าใจอยู่่ดี เพราะบทกวีของเธอนั้นคือใจความสำคัญหลักของเรื่่องที่มีมากมาย เมื่อเทียบกับตัวละครสมทบอื่น ๆ ที่ชัดเจนหมดว่าต้องการอะไร อยากทำสิ่งไหน ไม่อยากทำสิ่งไหนและเป็นตัวกระตุ้นเธอยังไง แต่ที่พอเป็นเส้นขนานได้ชัด นีน่าที่ภาพลักษณ์เป็นสาวใจแตก แต่จริง ๆ เธอก็สับสนอยู่เหมือนกันกับความสัมพันธ์ระหว่างสามีและลูกสาว จนกระทั่งได้ผูกมิตรกับเลด้า ก่อนที่เธอจะระเบิดออกมา

สปอยล์ 

หนังต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่

ประเด็นสำคัญ ก็คงแล้วแต่ที่คนดูแต่ละคนตีความ เพราะมันใช้หลักทางจิตวิทยาทางตัวละคร ผ่านบทกวีในการกระทำที่ย้อนแย้งที่ทำให้ตัวละครนั้นไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แต่ก็ยังทำเพราะมันรู้สึกไม่มีทางเลือก การลักขโมยเป็นสิ่งไม่ดี และมันอาจจะไม่มีเหตุผลใด ๆ ให้ต้องเห็นใจ บางครั้งผู้หญิงก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากจะหนีจากหน้าที่ของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่หายไปอย่างที่คิดอย่างบทบาทหรือหน้าที่ มันก็ไม่เคยหายไปจริง ๆ เมื่อเวลาผ่านไป เราก็ต้องย้อนกลับไปหาสิ่งที่เราโยนทิ้ง เหมือนกับความเป็นแม่และลูกที่ตัดให้ตายยังไงก็ไม่สามารถตัดออกไปได้ ไม่ว่าจะเป็นแม่ที่ดี แม่ที่ไม่ดี มันอยู่รวมกันในตัวผู้หญิงคนเดียว เพราะไม่มีใครที่เป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกยังไง บางครั้งแม่ก็คือสิ่งที่ตัวละครในเรื่องหลบหนี เป็นอุดมคติของผู้หญิงที่บางครั้งก็อยากปฏิเสธความรับผิดชอบเพื่อเป็นอิสระจากความเหนื่อยล้าเราอาจไม่รู้ว่าความรักที่มีต่อลูกคือความหลังจริง ๆ หรือการเสแสร้งเพราะว่าตัวเองได้ชื่อว่าแม่ หัวอกของคนเป็นผู้หญิงที่เข้าใจความรู้สึกของความเป็นแม่ ปิตาธิปไตยที่ผู้ชายในวงการทำงานได้บ่อนทำลายอำนาจของสตรีในการต่อรองเพื่อให้ผู้หญิงได้อยู่ในจุดที่สูงสุด หรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษระหว่างชายหญิงที่ฝ่ายหญิงไม่มีอำนาจพอจะตัดสินใจ ความต้องการขังตัวเองที่ทำลายครอบครัว และการทำตามใจตัวเองโดยไม่สนผลที่่ตามมาที่ตัวละครสื่อ และสุดท้ายก็นำไปสู่ความบอบช้ำและความสะเทือนทางจิตใจ

ไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้คงเป็นการแสดงสุดยอดเยี่ยมและอัศจรรย์ของ โอลิเวีย โคลแมน ที่ฝีมือการแสดงหาตัวจับยากเข้าทุกทีกับบทบาทหลายชั้นเลเยอร์แต่ไม่เน้นการแสดงออกทางร่างกาย แต่ใช้สีหน้าและอารมณ์่ที่เรียบเฉย จนไปถึงน้ำตาตกและการแสดงที่เป็นธรรมชาติในทุกฉากที่ทำให้เราเข้าใจ พอ ๆ กับเจสซี่ บัคลีย์จากการแสดงสุดหลอนใน I’m Thinking Of Ending Things ที่ได้แสดงวัยสาวอันยุ่งเหยิงของคนเป็นแม่ที่ทั้งน่าเห็นใจและน่ารังเกียจอย่างเข้มข้นด้วยอารมณ์อันเข้มข้นของเธอที่สามารถต่อติดกับโอลิเวีย โคลแมน ในขณะที่ดาโกต้า จอห์นสัน ดารามากฝีมือที่แสดงให้เห็นว่าเธอเองก็มีของไม่แพ้กับโอลิเวียเลย แม้ว่าบทบาทของเธอจะไม่ได้โผล่มาตลอดเรื่องก็ตาม แต่สะท้อนบทของแม่วัยสาวที่สับสน มึนงง และไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้อย่างน่าสังเวช ส่วนที่เหลือก็ตามมาตรฐาน และที่ขอชมคือการถ่ายทำมุมกล้องที่ถ่ายออกมาอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นการถ่ายวิดีโอของตัวละครตัวหนึ่งใช้ชีวิตประจำวันปกติปกติ มากกว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่มีการเซ็ตกล้อง ทำให้เราเห็นความเศร้า ความดิบของทุกอารมณ์ผู้หญิง ความต้องการทางเพศ ความวุ่นวายทางอารมณ์  และเพลงประกอบที่โผล่มาแบบสุ่ม ๆ และจังหวะที่ค่อย ๆ เงียบในมุมของอารมณ์อันเยือกเย็นที่หม่นหมองแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่น่าไว้ใจเหมือนกับหนังระทึกขวัญ เรียกได้ว่างานกำกับแรกของแม็กกี้นั้นไม่ธรรมดาเลยในแง่ของการทำหนังที่สามารถร้อยเรียงเรื่องราวอันสะเปะสะปะไม่ปะติดปะต่อให้จบลงอย่างหลอน แต่คงไม่ถูกใจคนที่ต้องการความเข้าใจแน่ ๆ เพราะมันต้องใช้การตีความในแบบของตัวเองจริง ๆ

สรุป The Lost Daughter หนังสนุกดีหรือไม่?

The Lost Daughter ลูกสาวที่สาบสูญ เป็นภาพยนตร์แหวกกระแสบล็อคบัสเตอร์ที่ดีแต่ไม่สนุกสำหรับคนที่อยากดูอะไรง่าย ๆ แบบเข้าใจเรื่องราวแบบหนังทั่วไป ด้วยการวิเคราะห์สำรวจจิตใจของผู้หญิงที่บอบช้ำและเจ็บปวดราวกับสูญเสียสำคัญผ่านบทพูดและบทกวีทางจิตวิทยา แต่ก็ยังย้อนแย้งในตัวเอง ด้วยอารมณ์ บรรยากาศของเรื่องที่แห้งแล้ง แต่ดิบเถื่อน การแสดงสุดอัศจรรย์ของนักแสดงนำที่แสดงถึงความซับซ้อนของคนเป็นแม่ และการถ่ายทำที่เป็นธรรมชาติและดนตรีประกอบที่จะหลอกหลอนคุณ แต่ข้อเสียสำคัญที่จะทำให้คนก่นด่าเรื่องนี้คือ หนังมันอาจจะไม่ได้มีจุดเปลี่ยนหรือบทสรุปใด ๆ ที่สำคัญ ประมาณว่าถ้าไม่เข้าใจประเด็นสำคัญ คุณจะไม่เข้าใจเลยว่าหนังต้องการจะสื่ออะไร แล้วทำไมบทสรุปมันถึงไม่มีอะไรเลย อีกทั้งหนังยังเป็นดราม่าเนือย ๆ เรต R มีฉากเซ็กส์และความรุนแรงทางอารมณ์ในระดับหนึ่งที่ไม่เหมาะกับคนอายุต่ำกว่า 18 ปี และน่าจะเหมาะกับสายคนเบื่อหนังดูง่ายและมาขบคิดถึงจิตใจของผู้หญิงผ่านงานกำกับของผู้กำกับหญิงเรื่องนี้ ถ้าสนใจก็ตามสบาย แต่ถ้าคิดว่าไม่ใช่แนวตัวเองก็ข้ามไปเลยครับ คุณจะผิดหวังอย่างแน่นอน ถ้าคุณคาดหวังอะไรแบบพีค ๆ แบบหนังดราม่าทั่วไปที่สาดอารมณ์อันหนักหน่วง เพราะนี่คือความเยือกเย็นที่จะซัดสาดกัดกร่อนคุณให้จุกเจ็บหัวใจตาม