The Mummy (เดอะ มัมมี่) ภาพยนตร์แนว Action Horror Adventure ของผู้กำกับ Alex Kurtzman ซึ่งเขียนบทภาพยนตร์โดย David Koepp, Christopher McQuarrie และ Dylan Kussman
ซึ่งในฉบับปี 2017 จะเป็นการเล่าเรื่องใหม่กับตัวละครใหม่ทั้งหมด โดยที่เนื้อหาจะไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับหนังไตรภาคที่นำแสดงโดย Brendan Fraser (ฉบับปี 1999, 2001 และ 2008)
และนี่คือหนังที่ทางค่าย Universal Studios หมายมั่นว่าจะใช้เป็นภาพยนตร์ที่เป็นตัวเปิดจักรวาล Dark Universe ซึ่งเป็นจักรวาลรวมเหล่าปีศาจต่างๆ ของทางค่าย
รับชมได้ทาง Netflix
เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของ Nick Morton (นำแสดงโดย Tom Cruise) นายทหารสังกัดกองกำลังสหรัฐ ที่ได้รับภาระกิจให้มาคุ้มครองนักโบราณคดีสาว Jennifer ‘Jenny’ Halsey (นำแสดงโดย Annabelle Wallis) ที่กำลังตามหาโบราณสถานแห่งหนึ่งในประเทศอิรัค ซึ่งโดยปรกติแล้ว นิค ก็ถือว่าเป็นนายทหารคนหนึ่งที่มักจะออกนอกลู่นอกทางและหากินกับวัตถุโบราณอยู่แล้ว จึงได้ทำการแอบขโมยแผนที่จาก เจนนี่ เพื่อไปขโมยสมบัติก่อนที่จะมีใครไปพบเข้า
และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงเป็นเหตุให้ Princess Ahmanet (นำแสดงโดย Sofia Boutella) ได้ถูกปลุกให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ณ สถานที่แห่งนั้น ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้จองจำ เจ้าหญิงอาร์มาร์เน็ต เจ้าหญิงจากยุคอียิปต์โบราณผู้มีความงดงาม, เฉลียวฉลาด, ฝีมือการต่อสู้สูง และโหดเหี้ยม ที่ถูกลงโทษโดยการทำให้เป็นมัมมี่ทั้งเป็นและนำไปผนึกไว้ชั่วนิรันดร์
และหลังจากนั้น มหกรรมแอ็คชั่นล้างผลาญก็ได้เริ่มต้นขึ้น (แต่จะว่าไป จริงๆ แล้วมันก็เริ่มล้างผลาญกันตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วล่ะ ตามสไตล์หนังของ ทอม ครูซ)
ความคิดเห็นหลังจากดูจบ
อเล็กซ์ เคิร์สแมน เลือกที่จะไม่รีบูต มัมมี่ เวอร์ชั่นเก่า แต่กลับเลือกที่จะตีความนำเสนอเรื่องราวใหม่ทั้งหมด โดยเปลี่ยนตัวมัมมี่ตัวร้ายจาก นักบวชอิมโฮเทป มาเป็น เจ้าหญิงอาร์มาร์เน็ต ที่ไม่ได้มีสเน่ห์อะไรให้จดจำเลย (นอกจากใบหน้ากับหุ่นงามๆ) และเปลี่ยนช่วงเวลาเหตุการณ์ในเรื่องมาเป็นยุคปัจจุบัน
ตัวหนังเน้นหนักไปทางด้านแอ็คชั่นตามสไตล์ ทอม ครูซ มากกว่าการที่จะเป็นหนังแนวทริลเลอร์สยองขวัญ โดยเฉพาะตอนเปิดฉากแรกขึ้นมา นึกว่ากำลังดู Ethan Hunt จาก Mission Impossible ตะลุยอิรักอยู่ยังไงยังงั้น
ในส่วนของ CG โดยรวมก็แทบจะไม่มีอะไรใหม่ ที่จะให้ชวนตื่นตาตื่นใจเลย
และที่งงหนักที่สุดคือ ตัวละคร Dr. Henry Jekyll (รับบทโดย Russell Crowe) ที่นึกอยากจะโผล่ก็โผล่ นึกจะหายก็หายไปซะดื้อๆ บทจะกลายร่างเป็น Edward Hyde ก็กลายร่างง่ายๆ ซะงั้น คือไม่มีที่มาที่ไปอะไรเลย เหมือนจะทิ้งไว้เป็นปริศนาให้ดูน่าค้นหา และติดตามต่อในหนังเดี่ยวของเขา
แต่เชื่อว่า คนที่ไม่เคยรู้จักหรือติดตามเกี่ยวกับพวกอสูรกายต่างๆ มาก่อนเลย น่าจะต้องงงกันเป็นไก่ตายแตกเลยว่า “มึงเป็นใคร“, “ทำไมถึงกลายร่างได้” จึงกลายเป็นว่าในช่วงจังหวะที่ความสนใจควรจะอยู่ที่ตัวหนัง กลับถูกดึงไปหาความคาใจเหล่านี้ ผลที่ได้คือความสนุกของเรื่องมันลดลง
สรุป >> ให้ไป 7 เต็ม 10 ละกันฮะ แม้ว่าหนังจะทำออกมาได้ดีในแง่ของความเป็นหนังสำหรับเปิดจักรวาลมอนสเตอร์ แต่ก็ยังดูสนุกใช้ได้ในระดับหนึ่งเลย แอ็คชั่นมันส์มาก คอหนังแอ็คชั่นน่าจะถูกใจไม่น้อยเลย แต่โดยภาพรวมก็ไม่ได้ดีถึงขนาดทำให้จักรวาลนี้น่าสนใจหรือน่าติดตามพอที่จะทำให้เราตั้งตารอคอยชม ปีศาจ ตัวต่อไป
และ ณ ตอนนี้ ก็น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า Dark Universe ที่มีภาพยนตร์ The Mummy เรื่องนี้เป็นตัวเปิดจักรวาล คงจะไม่ได้ไปต่อเสียแล้ว ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก เพราะในตอนที่ประกาศเปิดตัวหนังเรื่องต่างๆ และนักแสดงนำที่จะเข้ามาอยู่ในจักรวาลนี้ มันช่างน่าตืนตาตื่นใจมากๆ เพราะเหมือนเป็นการรวมเอามอนสเตอร์และนักแสดงมากฝีมืออย่าง Johnny Depp ที่จะมารับบทเป็น The Invisible Man (มนุษย์ล่องหน) และ Javier Bardem ซึ่งรับบทเป็น Frankenstein’s Monster (ปีศาจแฟรงเก้นสไตน์) มาไว้ในเรื่องเดียวกัน