ตอนแรกๆ ก็แอบหวังไว้เหมือนกันนะครับ เพราะผู้สร้างเขาประกาศเลยว่านี่จะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่แนวใหม่ มาพร้อมความสยองสายดาร์ค แต่พอหนังเลื่อนแล้วเลื่อนเล่า (ไหนค่าย Fox ยังไปอยู่ใต้ร่มเงาของ Disney อีก) ก็เริ่มเห็นแววครับว่าสงสัยความน่ากลัวของหนังน่าจะไม่มากเท่าที่คาดไว้
พอได้ดูก็ตามนั้นครับ แนวทางของหนังว่าตามจริงไม่ได้ใหม่อะไรขนาดนั้น ดูแล้วให้นึกถึง Morgan (ที่น้อง Anya Taylor-Joy แสดงเหมือนกัน) ที่มีฉากหลังเป็นเหมือนห้องทดลองที่กำลังปฏิบัติการอะไรบางอย่างอยู่ บวกกับหนังว่าด้วย “เด็กๆ กลุ่มหนึ่งถูกเกณฑ์มารวมกันเพื่อเรียนรู้พลังของตัวเอง และสถานที่ที่พวกเขามาอยู่รวมกันนั้นก็มีลับลมคมในหรือไม่ก็มีการผจญภัยรออยู่” ซึ่งนี่ก็เป็นสูตรพิมพ์นิยมของนิยายวัยรุ่นในทศวรรษที่ผ่านๆ มา (Harry Potter, Divergent, Percy Jackson เป็นอาทิ) ซึ่งพลังของเด็กๆ ก็จะต่างกันไปแล้วแต่พล็อตจะกำหนดครับ และสำหรับเรื่องนี้พลังที่ว่าก็คือพลังของมิวแทนท์นั่นเอง
ยอมรับว่าดูแล้วก็ออกแนวเรื่อยๆ ครับ ตัวหนังไม่มีอะไรเกินคาดเดา อย่างบอสใหญ่ของเรื่องนี่ผมเชื่อว่าหลายคนก็น่าจะเดาได้ตั้งแต่ฉากแรกๆ แล้วล่ะ ว่าสุดท้ายแล้วเหล่ามิวแทนท์รุ่นใหม่จะต้องสู้กับอะไร ส่วนการเดินเรื่องก็ตามสูตรเหมือนกันครับ ในช่วงต้นๆ พวกเขาก็จะต้องตีกัน ยังเข้ากันไม่ได้ ก่อนที่ช่วงท้ายจะมาจับมือกันแก้ปัญหา แล้วระหว่างทางก็ให้แต่ละคนแสดงพลังออกมา พร้อมด้วยเหยาะปมปริศนาเป็นระยะๆ
ก็อย่างที่ผมบอกเสมอครับ หนังลงสูตรเดิมๆ น่ะไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ปรุงให้สนุก ให้ดูแล้วได้รสได้ชาติก็โอเคแล้ว ซึ่งสิ่งที่หนังเป็นก็ออกแนวเรื่อยๆ ครับ ไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ ในแง่ดราม่าก็มีการแทรกปมชีวิตของแต่ละคนลงมาแบบพอให้รู้ว่าใครมีปมอะไร แต่ก็ไม่ได้ลงลึก ทั้งๆ ที่หากอยากใส่ความใหม่ลงไปในหนังล่ะก็ เพียงแค่เพิ่มความลึกของตัวละครให้มากขึ้นนี่ก็ถือว่าใหม่แล้วล่ะครับสำหรับแนวซูเปอร์ฮีโร่น่ะ ในขณะที่ธีมหลักของเรื่องก็คือ “ความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในใจตน” ซึ่งเหล่าตัวละครก็ต้องมาเรียนรู้เพื่อต่อสู้ควบคุมมันให้ได้ จริงๆ เป็นธีมที่ดีครับ ธีมแบบนี้สามารถต่อยอดในหนังได้ในหลายส่วน เช่น สามารถเพิ่มความสยองลงไป (เนรมิตฉากความกลัวให้แต่ละคนเจอ โดยให้บรรยากาศมันน่ากลัวแบบซึมลึกหลอนๆ อะไรแบบนี้เป็นต้น) หรือจะเอาธีมความกลัวมาเชื่อมกับปมชีวิต แล้วให้แต่ละคนหาทางเอาชนะปมตัวเอง อะไรเหล่านี้น่ะครับ สามารถใส่ลงไปเป็นรายละเอียดในหนังได้อีกเยอะและยังเป็นการเพิ่มมิติตัวละครที่ดีด้วย
แต่กับการนำเสนอก็ออกแนวเรื่อยๆ อย่างที่บอกน่ะครับ ปมต่างๆ ไม่ได้ลงลึกอะไร ตอนจะแก้ปมก็เหมือนจะแก้ตามสคริป พอสคริปถึงเวลาให้แก้ได้ก็แก้เลย ไม่ได้มีแรงผลักดันอะไรชัดเจน ซึ่งนั่นก็พลอยทำให้ความลึกของแต่ละคนน้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย
ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างถูกตัดออกไปหรืออีกหรือเปล่า (แบบที่หนังชอบโดนเฉือนโดนหั่นกันบ่อยๆ) จนหนังออกมาดูไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ถือว่าผิดฟอร์มของผู้กำกับ Josh Boone อยู่เหมือนกัน ผลงานก่อนๆ อย่าง Stuck in Love และ The Fault in Our Stars ก็ทำให้เห็นว่าเขาสร้างความลึกให้ตัวละครได้ดีนะครับ จำได้เลยว่าดู 2 เรื่องนั้นแล้วบังเกิดความอิน แต่กับเรื่องนี้เหมือนได้สัมผัสตัวละครในระดับผิวๆ เท่านั้น
ในแง่นักแสดงนั้น หลักๆ ก็มีกัน 6 คนครับ คือ 5 มิวแทนท์รุ่นใหม่และ 1 ผู้ดูแล ซึ่งการแสดงน่ะผมว่าได้ แต่คาแรคเตอร์ของพวกเขาดูกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก คนที่ถือว่าเป็นสีสันที่สุดแล้วก็คือ Anya Taylor-Joy นี่แหละครับ ได้ออกลีลาร้ายๆ แบบเต็มที่ แล้วพลังของเธอยังเท่ห์ซะอีก เลยดูเด่นกว่าใคร ในขณะที่คนที่จริงๆ แล้วควรจะเด่นอย่าง Blu Hunt ในบทแดนี่ มูนสตาร์ก็ถือว่ายังเด่นได้อีก เพราะจริงๆ ตัวเธอคนนี้ควรต้องมีพัฒนาการมากกว่าใคร (เพราะมันจะทำให้ตอนเผด็จศึกช่วงท้ายดูสมเหตุสมผลมากขึ้น) ซึ่งตรงนี้ก็ไม่รู้จะให้ใครรับผิดชอบดี เพราะในแง่นักแสดง ผมว่าเธอก็เล่นได้นะ แต่บทไม่ค่อยเปิดโอกาส ครั้นจะบอกว่าบทอ่อนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าบทอ่อนจริงไหม ไม่รู้กระทั่งว่าหนังที่ได้ดูไปนี่ใช่ Final Cut ของผู้กำกับจริงไหม เพราะข่าวก็มีออกมาบอกว่าหนังถูกตัดต่อใหม่ ถ่ายทำใหม่ระหว่างที่เลื่อนฉาย… รู้สึกเหมือน เดจาวูยังไงก็ไม่รู้สิครับเนี่ย
สรุปความรู้สึกที่มีต่อหนังก็คงเป็นว่า หนังยังไม่สุดน่ะครับ ในแง่ปมตัวละครก็ยังไม่สุด ในแง่ความลึกลับตามปมก็ยังไม่สุด ในแง่ความสยองก็ยังไม่ถึงขนาดน่ะครับ จริงๆ ตอนแรกเห็นเขาว่าจะทำออกมาแบบเรต R แต่สุดท้ายก็หยุดที่ PG-13 ความน่ากลัวขนพองก็เลยไม่เยอะสักเท่าไร จริงๆ ถ้าสังเกตจะพบว่าหลายฉากที่เราเคยเห็นในตัวอย่างแรกๆ นั้นไม่เจอเลยในหนังฉบับนี้ (อย่างเช่นฉากที่หน้าคนทะลุยืดออกมาจากกำแพงเป็นต้น) อีกทั้งคำเล่าขานว่าจะทำออกมาให้หลอนๆ แบบ The Shining นั้นก็บอกได้เลยว่าไม่ใกล้เลยสักนิด (แต่ผมก็เชื่อว่าหลายคนที่ไม่ได้รู้สึกว่า The Shining น่ากลัวก็คงมีอยู่เหมือนกัน 555)
แต่ก็ไม่ผิดหวังนะครับ เพราะมันไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้วตั้งแต่รู้ว่าหนังเลื่อนแล้วเลื่อนเล่า ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาของหนังเรื่องนี้ก็อยู่ในระดับกลางๆ ครับ ประมาณว่าไปไม่สุดสักทางทั้งในแง่เนื้อหา, ดราม่า, สยองขวัญ หรือในแง่ความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่ง “กลางๆ” ที่ว่านี่ก็กลางไปทางเก่า กลางไปทางอะไรเดิมๆ ที่ไม่ได้แปลกใหม่หวือหวา
แต่ไม่รู้นะครับ ผมเชื่อว่าสักวันจะมีคนทำหนังซูเปอร์ฮีโร่สยองขวัญที่ดีๆ ออกมาได้แน่ และโฉมหน้าของมันอาจจะไม่ได้มาพร้อมความสดใหม่อะไร แต่มาพร้อมของดีแบบเดิมๆ ที่ได้รับการปรุงแบบเหมาะสมจนกลมกล่อม (คิดไปคิดมาพอพูดถึงหนังฮีโร่สายสยองนี่ผมนึกถึง Constantine ขึ้นมาเลย)
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5.5/10)