The Power Of The Dog (Netflix) อำนาจบาดเลือดแค้น

ตัวอย่าง The Power of the Dog

รีวิว The Power of the Dog

เรื่องราวอื่นที่น่าสนใจ

รีวิว Swarm อเมริกันไซโคเด็กสาวผิวดำ Gen Z (ไม่สปอยล์)

รีวิว Carnival Row SS2 ไฟนอลซีซั่นที่คงคุณภาพงานทุกอย่างไว้ได้เป็นอย่างดี (ไม่มีสปอยล์)

ฟิล คาวบอยชายผู้อยู่กันสองคนพี่น้องกับ จอร์จ คอยปกครองไร่ขนาดใหญ่ที่ห่างจากเมืองหลวงและมีฐานะมั่งคั่งในมอนทาน่ายุค 1925 ผู้ทั้งปากร้าย เย่อหยิ่ง ใจทราม เหยียดเพศและเชื่อมั่นในความเป็นชายอย่างเต็มตัว และไม่ยอมให้หญิงคนใดเข้ามายุ่งกับครอบครัว กระทั่งจอร์จ ผู้เป็นน้องชายได้พาโรส แม่ม่ายพร้อมลูกชายประหลาดอย่าง ปีเตอร์ เข้ามาในบ้าน หนุ่มชาวไร่จอมบงการมากบารมีคนนี้เปิดฉากคุกคามภรรยาใหม่ เขาเริ่มใช้ความอคติและเกลียดชังทำร้ายสองแม่ลูก จนทำให้ชีวิตของพวกเขานั้นจมดิ่งอยู่กับอำนาจของเขา จนกระทั่งวันหนึ่งความลับที่ปิดบังของฟิลเกิดได้รับการเปิดเผยโดย ปีเตอร์ ผู้ที่มีท่าทางตุ้งติ้ง ความสัมพันธ์ต่างวัยของชายสองคนที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจกับประสานเข้าหากัน และเกิดเป็นความปรารถนาที่แอบซ่อนความดำมืดในใจจนอาจทำให้อำนาจที่เขามีนั้นถูกเปลี่ยนผ่าน จากผู้กดขี่อาจกลายเป็นผู้ถูกกดขี่และผู้มีอำนาจที่แท้จริงอาจจะได้ชื่อว่ามีฤทธิ์ของสุนัขที่พร้อมจะแลกทุกอย่าง จนอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดถึง

เรื่องราวถูกบอกเล่าเป็นองค์ต่าง ๆ เหมือนซีรีส์ตอน ๆ ตลอดสองชั่วโมง แต่ละช่วงจะมีประเด็นที่แตกต่างแต่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว ผ่านตัวละครหลักสี่ตัว ผ่านอารมณ์อันหน่วง ๆ อึน ๆ เรื่อย ๆ ค่อย ๆ ปูนิสัยใจคอของตัวละครที่เหมือนจะชัดเจน แต่แท้จริงแล้วล้วนมีปมส่วนตัวมากมายที่ผลักดันให้ตัวละครมีบทบาทและการกระทำที่คาดเดาไม่ถึง แต่หนังจะค่อนข้างใช้สัญญะในการเล่าค่อนข้างเยอะ และคุณอาจจะไม่ค่อยพบว่าพล็อตเรื่องน่าสนใจเท่าไหร่เพราะเป็นดราม่าสะท้อนอารมณ์ของตัวละคร ผสมกับโรแมนติกแบบหน่วง ๆ โดยไม่ต้องมีฉากหวือหวา กระทั่งบทสรุปที่เฉลยทุกอย่างได้อย่างทรงพลังและน่าขนหัวลุก แม้ตอนแรกจะเป็นภาพยนตร์ที่เหมือนจะเป็นไปในทางภาพยนตร์เกย์แบบ Brokeback Mountain แต่หนังกลับเลือกไปในเส้นทางที่หม่นมองกว่าและทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครนั้นมีความน่าสนใจและซับซ้อนกว่าภาพที่หนังแสดง แต่บางตัวละครนั้นก็ไม่ได้มีความสำคัญกับเส้นเรื่องในชวงหลังไปอย่างน่าเสียดาย เพราะหนังอัดแน่นไปด้วยความโกรธ ความรัก ความเกลียดชัง และความเก็บกดที่ตัวละครหลัก ทำไว้ในเรื่องล้วนต้องจำยอมให้เราได้จมดิ่งไปกับตัวละครนี้มากกว่าตัวละครอื่น แต่บทสรุปของเรื่องราวก็คือ ความต้องการและผลการกระทำที่ตัวละครได้ทำกับตัวละครนั้น ๆ แล้วมันก็บอกความหมายสุดท้ายในชื่อเรื่องของหนังได้เป็นอย่างดี

ตัวละครแต่ละตัวล้วนมีจุดมุ่งหมายเป็นของตัวเองที่เชื่อมโยงกันเป็นทอด ๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟิล ชายหนุ่มเหยียดเพศ ผู้เกลียดผู้หญิงเพราะเชื่อว่าพวกเขาเหล่านี้จะมาหลอกเอาทรัพย์สินจากครอบครัวและคุกคามคนรอบ ๆ ตัวแม้แต่คนในครอบครัว แต่จริง ๆ เขาเก็บซ่อนความเจ็บปวดและความน้อยใจในแบบที่เกรี้ยวกราดที่ยากจะหาคนเข้าใจ เพราะความเย่อหยิ่งแบบคาวบอยที่ทำให้เขาหวั่นไหวและถลำลึกกับความสัมพันธ์ต้องห้ามที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล โรส แม่หม้ายที่ทำร้านอาหารคอยเลี้ยงแขกและคาวบอยที่พยายามเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรัก แต่หลังจากแต่งเข้าบ้านครอบครัวใหม่ เพราะพบรักกับจอร์จ ชายหนุ่มร่างท้วมผู้มีจิตใจงาม น้องชายของฟิลที่ถูกกดขี่โดยพี่ชายมาทั้งชีวิต และขาดความอบอุ่นจากครอบครัวที่บังคับให้เขาต้องเป็นลูกผู้ชาย ผู้ทำให้ชีวิตของเธอที่กำลังแย่ให้ดีขึ้น ก่อนที่เธอจะตกเป็นเป้าดูถูกเหยียดหยาม และคุกคามอย่างหนักโดยฟิล จนเธอประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ และผลักดันให้ปีเตอร์ ลูกชาย นักเรียนแพทย์ท่าทางแปลกประหลาดและอ่อนโยน ไม่สามารถเข้ากับใครไม่ได้ที่ไม่เคยหวาดหวั่นหรือหวาดกลัวฟิล แต่กลับเข้าหาเข้าด้วยความใสซื่อที่ค่อย ๆ ทำให้ฟิลเปิดใจ แต่ปีเตอร์ก็ต้องการจะปกป้องแม่เขาอย่างสุดความสามารถและกลายเป็นปมหลักสำคัญของเรื่อง

ปมสำคัญของเรื่อง คงเป็นการสะท้อนภาพของคาวบอยในยุคสมัย 1925 ที่การเลี้ยงดูของครอบครัวผลักดันให้ผู้ชายต้องเติบโตเป็นคาวบอยแม้ไม่เต็มใจ เพราะเป็นหน้าที่ของครอบครัวที่มีลูกชายต้องจัดการ และทำให้พวกเขานั้นไม่ได้เป็นตัวเองอย่างที่ใจต้องการ และกลายเป็นปัญหาของสังคม ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนไหว ความอ่อนโยนที่มักถูกล้อเลียนในหมู่คาวบอย กระทั่งมีคนเลือกจะปลดปล่อยตัวเองและเป็นอิสระมีชีวิตที่ดี คนที่ยังเก็บกดกลับเลือกจะใช้ความทรมานของตัวเองทรมานคนอื่นอีกที และทำลายชีวิตของคนอื่นและกลายเป็นความแค้นที่เก็บซ่อนในขณะที่ตัวเองกลับใช้ความเจ็บปวดแสดงความน่ารังเกียจและโฉดช้าที่พอมีใครคนนึงเข้ามาในชีวิตก็เริ่มที่่จะใจอ่อนโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันจะทำร้ายตัวเองภายหลัง บางครั้งความฉลาดนั้นก็สามารถเป็นภัยได้ หากมีคนที่ฉลาดกว่าวางแผนตลบหลังอีกที เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่ควรเป็น คือการยอมรับและไม่ตัดสินคนอื่นด้วยอคติไม่ว่าจะด้วยของตัวเองหรือของคนอื่นก็ตาม เข้าอกเข้าใจคนอื่น ถ้ามีปมปัญหาก็ต้องปรึกษา ไม่ใช่แสร้งว่าฉลาด แสร้งว่าเก่งไม่งั้นจะตกม้าตายเอาได้

ในส่วนของการแสดงไม่มีที่ติเลย สมกับรวมนักแสดงมากฝีมือ ตั้งแต่เบนเนดิกต์ที่สวมบทสุดแสบ ปากร้าย ใจโฉด และมีอำนาจบาตรใหญ่ได้ราวกับมีชีวิต สีหน้าแววตาท่าทางเหมือนกับตัวละครเหมือนมีตัวตนเป็นคาวบอยจริง ๆ ทำให้หลังจากที่ใครหลายคนอาจจะเห็นมาดสุภาพบุรุษมาแล้วหลายเรื่องต้องลืมบทเหล่านั้นไปเลย แต่ครั้งนี้เขามาแบบจัดเต็ม ทั้งความโหด ความกักขฬะ ความเลวแบบที่ทำให้ลืมภาพจำเดิมด้วยฝีมือการแสดงที่ไม่ต้องฟูมฟายแต่ทำให้เราเข้าใจแต่ก็ไม่ได้เห็นใจตัวละครได้เป็นอย่างดี เป็นตัวละครที่ซับซ้อน เรียกได้ว่าเป็นอีกคนที่น่าจับตามองในเวทีออสการ์ปีหน้าแน่นอน แต่อีกคนที่มาเรียบ ๆ แต่ร้ายไม่ใช่เล่นคงเป็น โคดี้ สมิท-แมคฟี หนุ่มน้อยหน้าละอ่อนที่รับบทประกบคู่กับเบน แต่ก็ไม่ถูกกลืนแม้บทจะดูนิ่งเฉย แต่ก็พีคได้แบบไม่น่าเชื่อ ด้วยท่าทางของตัวละครที่ดูไม่มีพิษภัย แต่กลับมีเล่ห์กลมากกว่าที่ตัวละครร้ายจริง ๆ นั้นเป็นซะอีก เคียร์สเตน ดันสต์ ในบทของหญิงธรรมดาแต่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ทั้งสุข เศร้า และร้องไห้ตาม แต่ก็หวาดกลัว ดูบ้าคลั่งตีกับเบนเนดิกต์ เจสซี่ พลีมอนส์ ก็แสดงออกมาได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู แม้ท่าทางจะเหมือนคนไม่ดี แต่หนังตอกย้ำว่าอย่าตัดสินคนจากภายนอก ในขณะที่บทของโทมาซิน อาจจะมาเป็นสมทบไม่ค่อยมีอะไรแต่ก็โดดเด่นด้วยความเป็นธรรมชาติ การถ่ายทำที่สวยมาก ทั้งวิวทิวทัศน์ บรรยากาศความเป็นคาวบอยตะวันตกผ่านดนตรีของจอนนี กรีนวูด นักดนตรีจากวงร็อคอังกฤษจากวง Radiohead เริ่มบั่นทอนประสาทอย่างเนิบช้า ก่อนจะใช้มันขยี้อารมณ์จนแหลกราญไม่เหลืออะไรให้ปราณี ราวกับจะฆ่าคนดูให้ตายแล้วตายอีก การจับภาพไปที่ตัวละครทั้งสีหน้าแววตา หรือกิจกรรมที่เจาะลึกเข้าไปสะท้อนทางสัญญะทั้งทางศาสนาหรือทางเพศ และการบิวต์อารมณ์ที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ใช้ความเรียบง่ายของโทนสีออกส้ม ๆ แต่ใช้แสงทมิฬออกเยือกเย็นที่ทำให้บทสรุปมันค่อนข้างหลอนติดหัวพอสมควร

The Power of the Dog ถ้าแปลไทย คงตั้งว่า อำนาจบาดเลือดแค้น เพราะมันคือความหมายของหนังเรื่องนี้จริง ๆ เมื่อดูจบ เป็นภาพยนตร์คาวบอยรสชาติเข้มข้นและดาร์กแบบไม่ต้องขายความโหดเลือดสาด แต่ใช้ความเป็นตัวละครต่าง ๆ สะท้อนความดำมืดในจิตใจให้ขนลุกมากกว่าและมันก็ได้ผลมากด้วย เพราะการแสดงของนักแสดงนำโดยเฉพาะเบนเนดิกต์ถือว่าพร้อมไปยืนบนเวทีออสการ์ได้เลย เช่นเดียวกับการถ่ายภาพและการเล่าเรื่องที่เข้มข้น และประเด็นสำคัญของชายคนหนึ่งที่เก็บซ่อนความลับจนทำลายชีวิตตัวเอง รวมไปถึงอารมณ์ที่ดราม่าแต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อ เว้นเสียแต่บทมันค่อนข้างจะธรรมดาไปสักหน่อย การเล่าเรื่องที่มีสัญญะอาจต้องทำความเข้าใจและติดอยู่กับมัน อาจทำให้มันไม่ใช่หนังที่ดูง่าย แต่ภาพรวมมันก็คือหนังดีที่ขายทุกสิ่งที่สามารถเข้าชิงรางวัลได้ และมันก็ทำได้ แม้ว่าจะไม่มีอะไรน่าสนใจกว่าที่คาดไว้ ถือเป็นภาพยนตร์เน็ตฟลิกซ์ดี ๆ รับต้นเดือนครับ