The Voices (Marjane Satrapi / USA, Germany / 2014)
เรื่องราวของ Jerry (Ryan Reynolds) ชายหนุ่มพนักงานบริษัทผลิตอ่างอาบน้ำที่หูแว่วมโนไปเองว่าหมาตัวโตกับแมวตัวแสบที่เลี้ยงไว้มันพูดคุยโต้ตอบกับเขาได้ และนี่ก็คือที่มาของชื่อเรื่อง The Voices ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประกวดประชันเสียงร้องเพลงแต่อย่างใด ทุกครั้งที่กลับมาบ้านที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว เสียงของหมาฝั่งธรรมะแมวฝั่งอธรรมที่เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านถกเถียงโต้แย้งกันตลอดเวลาที่ Jerry มีเรื่องให้ต้องกังวลหรือขบคิดทั้งเรื่องเล็กน้อยอย่างเวลาเปลี่ยนช่องทีวีไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างการฆ่าคนตาย ทำให้เกิดการเมืองภายในจิตของเขาซึ่งขณะเดียวกันเขาก็ต้องเป็นศาลสูงชี้ทางเดินตัวเอง
จิตใจส่วนหนึ่ง Jerry ก็ยังฝังใจอยู่กับอดีตวัยเด็กที่เกิดเหตุการณ์ฝังใจจนทำให้เด็กชายกลายเป็นฆาตกรในหน้าข่าว ในวัยผู้ใหญ่นอกจากที่ Jerry ต้องเลี้ยงดูหมาแมวแล้วยังต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง เติบโต เข้าสังคม และมีความรักกับหญิงสาวเพื่อนร่วมงาน Fiona (Gemma Arterton) กับ Lisa ( Anna Kendrick) พยายามใช้ชีวิตแบบปกติอย่างที่คนทั่วไปเป็นกัน แต่ก็ต้องคอยรับการเยียวยาและคำปรึกษาจากจิตแพทย์หญิงสูงวัย (Jacki Weaver) ที่มีหน้าที่คอยรายงานความเป็นไปของ Jerry ถึงหน่วยงานผู้ควบคุมดูแลได้ตลอดเวลาในฐานที่ Jerry เคยเป็นฆาตกร จนกระทั่งคืนหนึ่งขณะออกเดทเขาได้พลั้งมือฆ่าเพื่อนร่วมงานสาวสวยตายอย่างอนาจโดยไม่ตั้งใจ!!? ทำให้ต้องหาทางออก แต่ที่ปรึกษาอันดับแรกที่เขาเลือกไม่ใช่จิตแพทย์อย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นหมาแมวขาเมาธ์เจ้าประจำก่อนจะเริ่มเสียหมาหลงตามความคิดของแมวชั่วตลอด จนเรื่องราวทั้งหมดมันยิ่งเลวร้ายและเลยเถิด
หนังคัดเลือกนักแสดงได้น่าสนใจมากๆ กับบทบาทของแต่ละคน ทั้ง Ryan Reynolds ที่น่าหวาดระแวงและน่าสงสารเวทนารวมถึงน่าหมั่นไส้ได้พอดีๆ Gemma Atterton กับ Anna Kendrick ที่ถึงจะไม่ได้โดดเด่นแต่ก็เสริมตัวละครให้ดูมีเสน่ห์มีของขึ้นมาได้เยอะมากๆ รวมถึง Jacki Weaver ที่แย่งความสนใจจากตัวละครตัวอื่นได้ตลอดแวลาที่อยู่บนจอ ดูจากโปสเตอร์คร่าวๆ ก็คงพอจะเห็นภาพแล้วว่าหนังฆาตกรต่อเนื่องเรื่องนี้ไม่ได้ดูหม่นมืดแบบหนังอาชญากรรมดาร์คๆ หรือหนังสยองขวัญเลือดสาดจริงจังเอาเป็นเอาตาย แต่ก็มีวิธีสร้างบรรยากาศลึกลับหวาดเสียวสะอิดสะเอียนได้ด้วยการหยอดนิดหยอดหน่อยพอเป็นน้ำจิ้มเสริมเสน่ห์ และทีเด็ดอยู่ที่การเล่าสถานการณ์ที่ดูเหมือนไร้สาระแต่จริงๆ มันซ่อนเนื้อหนังไว้ด้วยการการประชดประชันที่บ้าบอให้พอคม ลับกับการสำรวจลักษณะตัวละครด้วยวิธีการเล่าที่แปลกประหลาดแต่เพลิดเพลินสนุกสนาน จิกกัดสังคมและความเชื่อทางศาสนาคริสต์ที่มีความย้อนแย้งซับซ้อนแต่ท่าทีหยอกเล่นของมันทำให้ย่อยง่ายไม่ลำบาก มีความกล้าและไม่ประนีประนอมกับประเด็นและเรื่องราวที่เล่าให้สุดทางได้
อย่างที่ชงมาแล้วว่าหนังมันถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยทางจิตได้เพลิดเพลินกวนส้นมากๆ ขณะที่กำลังหัวเราะความขบขันไม่เข้าท่าของความคิดผ่านการสนทนาบ้าบอกวนเกรียนระหว่างคนกับหมากับแมวที่ตอนแรกเรามีมุมความคิดเอนไปทางที่เชื่อว่าหมาแมวมันพูดได้จริงๆ แต่พอรู้แน่ๆ ว่าพระเอกมันมีอาการหลอนทางจิตเราก็อดที่จะสงสารเห็นอกเห็นใจมันไม่ได้ถึงมันจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปแล้วก็ตาม กลายเป็นคนบ้าที่ทำลายโลกความเป็นจริงจนต้องพยายามอยู่ในโลกจิตป่วยของตัวเองให้ได้ โลกจินตนาการบ้าบอที่เหลืออยู่อีลกฝั่งกายเป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดสำหรับคนๆ หนึ่งนี่มันน่าเศร้าและหดหู่มาก สิ่งดีงามที่สุดคือขณะดูการแก้ไขปัญหาของตัวละครโรคจิตนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้เราเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนจิตไม่ปกติมากขึ้น ถึงขนาดมีแว้บหนึ่งที่เรารู้สึกว่าอยากพูดกับหมากับแมวกับหัวคนแบบฆาตกรโรคจิตนี้ได้บ้าง และเกิดคำถามเชิงใจเขาใจเราว่า ถ้าเราตกอยู่ในห้วงสภาวะแบบนี้เราจะแก้ปัญหานี้ยังไงกันนะ พอเราคิดตาม เริ่มเข้าใจและเห็นใจเราก็เริ่มเชียร์ให้ฆาตกรได้มีโอกาสรอดได้แก้ไขได้เยียวยาอย่างที่จิตแพทย์ในหนังได้พยายามบอกตำรวจ แต่สุดท้ายแล้วหนังก็พาเข้าสู่ตอนจบที่ตบหน้าความสุขและความผิดบาปจนแทบหงายหลังทั้งเหวอทั้งขำลั่น เหตุการณ์ฝังใจวัยเด็กกลับมาหลอกหลอนในคราบสวรรค์ชั้นยูโทเปียดี๊ด๊าพาสุขที่เป็นไปไม่ได้ในโลกความเป็นจริงของ Jerry อาเมน…