สำหรับผมแล้ว The Rock (★★★) คือผลงานที่ผมชอบสุดของ Michael Bay และผมขอพ่วงตำแหน่ง Top 10 หนังแอ็กชันในดวงใจตลอดกาลเข้าไปด้วยอีกหนึ่งตำแหน่งดูรอบแรก-มันส์ ดูรอบ 2-3-4-5 ก็ยังมันส์ ถึงปัจจุบันผมเชื่อว่าดูมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 รอบ ก็ยังคงยืนกรานคำเดิมว่า “มันส์สุดๆ”The Rock สำหรับผมเป็นหนังแอ็กชันภาคบังคับ ถ้าเมื่อไรที่ดูหนังแนวบู๊ไปเยอะๆ แล้วไม่รู้สึกอิ่ม ไม่รู้สึกสะใจ ผมต้องรีบหยิบหนังบู๊ที่ไว้ใจได้ มาดูเพื่อเติมศรัทธาที่เสื่อมถอย ส่วนใหญ่เปิดด้วย Die Hard (1 – 4 เท่านั้น) มี Lethal Weapon มาดูควบให้เพลินใจ (1 – 4 เช่นกัน) เหยาะ Kill Bill ลงไปหน่อย โหด เลว ดี อีกสักนิด จากนั้นก็เสพ The Rock ให้อะดรีนาลินมันพีคกันไปข้างหนึ่งเลย!จริงๆ The Rock ไม่ใช่อะไรที่ใหม่มากมายครับ มันคือหนังแอ็กชันสูตรสำเร็จที่ว่าด้วยผู้ก่อการร้ายสักกลุ่มหนึ่ง จับตัวประกันไว้และขู่จะทำอะไรสักอย่างที่เลวร้าย ก่อนจะยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลจ่ายเงินมา ทีนี้ทางการก็ต้องหาทางส่งกองกำลังเข้าไปปราบพวกผู้ร้ายให้สิ้นซาก นี่ล่ะครับ สูตรพิมพ์นิยมขนานแท้และดั้งเดิมที่ Don Simpson และ Jerry Bruckheimer 2 ผู้สร้างหนังเอาใจตลาดถนัดนักล่ะครับแต่อย่างที่ผมบอกเสมอครับ สูตรหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือปรุงออกมาอร่อยไหม ดูแล้วมันเพลินไหม ดูแล้วต่อมความมันส์มันเดือดพล่านหรือเปล่า ซึ่ง The Rock นี่ทำสำเร็จอย่างสวยงามครับเรื่องเริ่มเมื่อพลจัตวาฟรานซิส ฮัมเมล (Ed Harris) นายทหารผู้รักชาติตัดสินใจจับตัวประกันไว้บนเกาะอัลคาทราซ พร้อมประกาศให้ทางการจ่ายเงินที่ควรจ่ายให้กับครอบครัวของนายทหารมากมายที่ต้องตายไป แต่กลับไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ โดยแต้มต่อของท่านนายพลก็คือ เขามีจรวดที่บรรจุวีเอ็กซ์แก๊สเอาไว้ ซึ่งเจ้าแก๊สนี้หากพุ่งไประเบิดที่ไหน สามารถคร่าชีวิตคนได้อย่างมหาศาลทีเดียวดังนั้นทางการจึงเตรีมส่งหน่วยซีลเข้าไปจู่โจมพวกของนายพลฮัมเมลบนอัลคาทราซ แต่ปัญหาคืออัลคาทราซนั้นคือคุกเก่าที่แสนซับซ้อน การจะเข้าไปข้างในนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทางเดียวคือต้องหาใครสักคนที่รู้และเชี่ยวชาญเส้นทางในนั้นเป็นอย่างดี และคนที่ FBI เลือกคือชายลึกลับนามว่า จอห์น แพทริค เมสัน (Sean Connery) ที่โดนขังลืมอยู่ไม่รู้กี่ปี แต่ชายคนนี้คือคนเดียวที่เคยแหกคุกอัลคาทราซได้สำเร็จ เขาจึงเป็นความหวังเดียวของชาวอเมริกันครับ และเมื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับแก๊สพิษ ทำให้ FBI ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมีอย่างสแตนลี่ย์ กู็ดสปีด (Nicolas Cage) ถูกตามตัวมาช่วยที่เหลือขออนุญาตไม่เล่าล่ะครับ ใครดูแล้วย่อมทราบ แต่ถ้าใครยังไม่ดูขอร้องให้ไปดูเลยครับ รับรองมันส์ระดับโคตะระความเจ๋งแจ๋วของหนังเรื่องนี้คือมันรวมของดีไว้ตรึมโบ้เลยครับของดีชุดแรก เริ่มจากทีมนักแสดงที่ฝีมือจัดจ้านมาก Connery ก็ดูองอาจ เก๋า ร้อยเล่ห์ แต่ก็เป็นสุภาพชนคนดีที่ไว้ใจได้ ว่าง่ายๆ คือเจมส์ บอนด์ตอนแก่ชัดๆ ล่ะครับ ส่วน Cage ก็กวนโอ๊ย เรียกเสียงฮาได้เรื่อยๆ แต่ครั้นพอถึงเวลาทำงานเขาก็ทำแบบสุดชีวิตไม่เคยคิดหนีเอาตัวรอด ส่วน Harris ก็ดูนิ่ง เด็ดขาด และที่สำคัญคือตัวละครนี้ังมีมิติที่น่าสนใจครับ เพราะเขาไม่ใช่ตัวร้ายทั่วไปที่ทำเพราะโลภ แต่เขาทำเพื่อทวงความเป็นธรรม (ตามแบบและความคิดของเขา) นั่นทำให้บทนี้ของ Harris ดูน่าจดจำมากกว่าตัวร้ายจอมโลภทั่วๆ ไปถ้ดจากตัวนำแถวหน้าแล้ว บทสมทบถัดมาก็ขโมยซีนได้เป็นพักๆ ไม่ว่าจะ John Spencer ในบทวอร์แม็ก ผู้อำนวยการ FBI ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเมสันมาหลายทศวรรษ, David Morse ในบทผู้พัน ทอม แบ็กซ์เตอร์ มือขวาของนายพลฮัมเมล, William Forsythe ในบทเจ้าหน้าที่พิเศษเออร์เนสต์ แพ็กซ์ตัน, Michael Biehn ในบทผู้การแอนเดอร์สัน หัวหน้าทีมหน่วยซีล และ Tony Todd ในบทผู้กองแดร์โรว์ ลูกน้องอีกคนของนายพลฮัมเมลเชื่อไหมครับว่าแต่ละคนที่ผมเอ่ยชื่อนั้น มีวาระที่น่าจดจำด้วยกันทั้งหมด หรือแม้แต่คนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงก็เถอะ ก็มีวาระให้จดจำด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะลูกสาวของเมสัน (รับบทโดย Claire Forlani), ช่างตัดผมจอมติสต์ที่แต๋วแตกตอนเมสันออกฤทธิ์ และคนขับรถรางผิวดำที่ตบะแตกตอนเจอคนขับตีนผี (อย่างเมสัน) มาขับรถปาดหน้า จนรถรางแสนรักคว่ำต่อหน้าต่อตา แต่ละคนนี่ขโมยซีนกันแบบได้โล่ห์จริงๆ ครับอันนี้ผมชม Bay เลยนะครับ และพี่แกนั่นเองคือของดีอย่างที่ 2 ของหนัง เพราะพี่แกถ่ายทอดเรื่องราวได้เจ๋ง แต่ละฉากที่นำเสนอนั้นมันมีจุดให้เราสนใจตลอด บางฉากตัวละครขโมยซีน บางฉากมุมกล้องเหวี่ยงไหวได้อารมณ์ บางฉากก็แอ็กชันเล่นซะเราเกร็ง บางฉากก็เล่าเรื่องแบบเอาฮา คือระหว่างดูนี่พลังของหนังมันแรงสูงมากเลยนะครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า Bay แกโตมาทางสายกำกับมิวสิควีดีโอ จุดเด่นมากๆ ของเขาคือสามารถจับ “ของเด่น” ในซีนนั้นๆ มานำเสนอให้เตะตาคนดูได้และนั่นคือสิ่งที่เขาทำกับหนังเรื่องนี้ครับ แม้หนังยาวสองชั่วโมงกว่า แต่เกือบทุกฉาก Bay จะสามารถขับเน้นผลักดัน จับโฟกัสไปที่อะไรสักอย่างในซีนนั้นๆ ให้เด่นขึ้นมา และป้อนใส่ตาใส่อารมณ์คนดู ด้วยเหตุนี้ทั้งเรื่องมันถึงทำให้ผู้ชมตื่นตา ชวนให้สนใจอยู่เรื่อยๆ และครบรสสุดๆ จนน่าปรบมือให้แล้ว Bay แกยังแม่นในการจับฉากแอ็กชันมันส์ๆ ครับ จังหวะไหนสโลว์ จังหวะไหนเร่ง แกเอาอยู่หมด ซึ่งผมว่าเรื่องนี้คือผลงานที่พี่แกตั้งใจมากๆ น่ะครับ แกทำแบบใส่ใจ แล่อยของดีที่มีในตัวลงไปหมด หนังเลยออกมา “เยอะ” แต่ไม่ “ล้น”พอพิจารณาจากงานที่ออกมา กับข่าวลือในกองถ่ายก็นับว่าสอดคล้องกันครับ เพราะจริงๆ Bay น่ะจะโดนบีบออกจากเก้าอี้ผู้กำกับไม่รู้กี่รอบแล้ว คนบีบไม่ใช่ Don Simpson กับ Jerry Bruckheimer นะครับ แต่คือพวกผู้ใหญ่ในค่าย Walt Disney (เพราะหนังสร้างโดยค่าย Hollywood Pictures ในเครือ Disney ครับ) ทั้งหาเรื่อง ทั้งจับผิด ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขา (ซึ่งค่อนข้างหัวเก่า) ไม่ชินกันเทคนิคใหม่ๆ มุมกล้องเหวี่ยงๆ หรือลีลาสดๆ ที่ Bay บรรจงเสิร์ฟลงไปในหนัง จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเบื้องบนนัดเรียก Bay ไปเพียงลำพัง หมายจะลงดาบ ประมาณว่าคิดจะกำราบให้ทำตามคำสั่ง ไม่งั้นก็เตรียมออกจากโปรเจคท์ได้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของชายคนหนึ่งมาโดยตลอดชายคนนั้นคือ Sean Connery ที่เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างเหมือนกันในขณะที่ Bay กำลังจะไปตามนัดให้เบื้องบนเชือด Connery เดินมาทักถามว่า Bay จะไปไหน Bay ก็ตอบว่าเขากำลังจะไปตามนัดหมายที่เบื้องบนนัดเอาไว้ พอได้ยินดังนั้น Connery เสนอตัวตามไปด้วยทันทีว่ากันว่าเมื่อพวกเบื้องบนของ Disney พอเห็น Connery เดินประกบ Bay มาด้วยนี่ถึงกับหน้าถอดสีเลยครับ เพราะรู้ดีว่าการจะไล่ผู้กำกับหนุ่มคนนี้ออกคงไม่ใช่ของง่ายอีกต่อไป และระหว่างการพูดคุยวันนั้น Connery ได้พูดแบบนิ่มๆ ว่า “เด็กคนนี้เขาทำงานดี ผมพร้อมหนุนเขาเสมอนะ… อย่ายุ่งกับเขาให้มากเกินไป จะดีกว่าไหม?”เจออดีตเจมส์ บอนด์ยื่นคำขาดแบบนี้ เป็นอันจบข่าวครับ เบื้องบน Disney ถอนทัพไม่ยุ่มย่ามอะไรกับ Bay อีกเลย ทำให้เขามีอิสระเต็มที่ เขาเลยทุ่มเทและจัดเต็มอะไรต่อมิอะไรใส่ลงในหนังแบบสุดพิกัดอย่างที่เราเห็นกันบนจอนี่แหละครับ ซึ่งพูดได้เต็มปากเลยว่า หนังเรื่องนี้คืออะไรที่ “เป็นสไตล์ของ Bay สมัยไฟแรง ” อย่างเต็มตัวแท้จริงของดีประการที่ 3 ต้องยกให้บทครับ คือมันอาจจะไม่ได้เข้มข้นสุดยอดหรือหักมุมได้โล่ห์อะไรมาก แต่มันครบเครื่องความมันส์สำหรับหนังแอ็กชันชั้นดีสักเรื่อง ที่มีทั้งความมันส์ ความตื่นเต้น ความสะเทือนใจ การเสียสละ การแข่งกับเวลา การพลิกผันของเรื่อง การแสดงด้านมืดของผู้ร้ายและแสดงด้านสว่างของพระเอก และที่ลืมไม่ได้คืออารมณ์ขันกับประโยคติดหูที่หนังจงใจใส่ลงมาฮุคหูคนดูโดยเฉพาะ หลายอย่างลงล็อคได้ขนาดนี้ก็ต้องชม Bay ที่ถ่ายทอดออกมาได้ดี และบทภาพยนตร์เองก็มีความลงตัวอยู่แล้วด้วยซึ่งเจ้าของผลงานบทหนังเรื่องนี้ก็คือ David Weisberg และ Douglas Cook ที่ถือเป็นคนคิดต้นเรื่อง ก่อนจะมาช่วยกันเกลากับ Mark Rosner อีกที แต่ถ้าพูดถึงคนที่ควรได้รับความดีความชอบจริงๆ ต้องยกให้ Jonathan Hensleigh (Die Hard: With a Vengeance) ที่ทั้งช่วยคิดบท เกลาบท และเขียนบทเสริมระหว่างถ่ายทำร่วมกับ Aaron Sorkin แห่ง A Few Good Men เพราะว่ากันว่าบทดั้งเดิมนั้นทั้งเข้ม ทั้งเครียด ซีเรียสกว่าที่เห็นมาก ก็ได้พวกเขา 2 คนนี่แหละครับที่มาช่วยกันทำให้บทมันพอดีๆ แบบที่หนังเป็นอยู่นี่แต่ด้วยความที่กฎของสมาคมนักเขียนที่จะอนุญาตให้ใส่ชื่อนักเขียนลงไปได้หากมีส่วนในบทเกินกว่า 50% ทำให้พวกเขาไม่ได้รับการใส่ชื่อ (เพราะสิ่งที่พวกเขาใส่ลงไปคือ ลูกเล่น มุขเจ๋งๆ การเพิ่มฉากนั้นฉากนี้ให้มีรายละเอียดชวนติดตามมากขึ้น แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่ “เนื้อบทที่ชัดเจน”) แม้ Bay จะพยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้วก็ตามนอกจากนี้ยังมีคนเบื้องหลังอีกหนึ่งที่แอบมาเกลาบทให้ เติมอะไรมันส์ๆ เร้าๆ และกระตุ้นอะดรีนาลิน รวมทั้งเสริมอารมณ์ขันเจ็บๆ ให้ โดยไม่เรียกร้องขอเครดิตอะไร… คนผู้นั้นคือ Quentin Tarantinoดังนั้นการที่ The Rock มันมีอะไรแสบๆ คันๆ มันส์ๆ คัลท์ๆ ในบางจุดนี่ ก็ขอให้รู้ไว้ เป็นฝีมือเฮีย Quentinและแม้จะไม่มีการบอกชัดว่าฉากไหนบ้างที่เฮีย Quentin แกลงของเอาไว้ แต่แฟนๆ ส่วนใหญ่มั่นใจว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นฉาก “ทิ่มเข็มฉีดยากลางอก ทะลุถึงหัวใจ” เป็นแน่แท้ของเด็ดอย่างที่ 4 คือดนตรีครับ เปรียบได้ดั่งยาบ้าชัดๆ คือมันเร้าใจมาก เร้าอารมณ์และเติมความตื่นเต้นได้แบบสุโค่ยโดย Nick Glennie-Smith และ Hans Zimmer ซึ่งเป็นอะไรที่ลงล็อคมากๆ นะครับ ลีลาที่ Bay นำเสนอ กับดนตรีที่ใส่ลงไปมันสอดคล้องกันกำลังดีจริงๆ คุณภาพของดนตรีหนังเรื่องนี้ดีแค่ไหนก็ลองคิดดูครับ เพราะทุกวันนี้ละครบ้านเรายังเอามาใช้ในฉากตื่นเต้นๆ หรือรายการข่าวสั้นก็ยังเอามาใช้อยู่เนืองๆ เพราะมันเร้าและกระตุ้นความสนใจคนได้อย่างเฉียบจริงๆของเด็ดอย่างที่ 5 คือมิติของตัวละครในเรื่องน่ะครับ มันทำให้หนังมีอะไรขึ้นเยอะ อย่างการที่เมสันกับกู๊ดสปีดกวนโอ๊ยกันตลอดเวลา แต่ก็แอบนับถือพึ่งพากันอยู่ในที เอาแค่ตอนพวกเขาต่อปากต่อคำกันก็ฮาแล้วครับ, นายพลฮัมเมลเองก็มีจุดน่าสนใจ เพราะเขาไม่ใช่ตัวร้ายสุดเหี้ยมชนิด ม. ม้าวิ่งหนี จริงๆ เขาคือรั่วของชาติที่พยายามทำอะไรสักอย่างให้กับลูกน้องและเพื่อนร่วมรบที่ต้องสูญเสียไป ซึ่งตัวละครนี้ Don Simpson เป็นคนต้นคิดขึ้นมาครับ หลังจากวันหนึ่งเขานั่งดูรายการ 60 Minutes ว่าด้วยเรื่องของเหล่าทหารที่ไปตายในสนามรบ แต่ก็ไม่ได้รับค่าชดเชย หรือบางคนก็ถูกปล่อยให้ตายโดยไร้การช่วยเหลือ พอดูรายการจบ Simpson ก็อยากทำหนังแอ็กชันที่มีตัวร้าย (แบบไม่ร้าย) เป็นนายทหารที่จำเป็นต้องทำเพื่อประท้วงความอยุติธรรม อันนำมาสู่หนังเรื่องนี้น่ะครับไม่ปฏิเสธครับว่ามิติตัวละครอาจไม่ได้ลึกมาก แต่ถือว่าน่าพอใจแล้วครับสำหรับหนังแอ็กชันเน้นมันส์แบบนี้ อย่างฉากที่ทหารฝ่ายฮัลเมลกับฝ่ายที่ไปเพื่อช่วยตัวประกันต้องปะทะกัน มันอาจดูจงใจทำให้สะเทือนใจไปนิด แต่ผมว่ามันสื่ออะไรๆ ได้ดีครับหนังทำเงินกระหน่ำ $335 ล้านจากทั่วโลกครับ ทุนสร้างก็ประมาณ $75 ล้าน กำไรสวยงามครับสรุปง่ายๆ ว่าชอบครับ ดาราดี ดูแล้วมันส์ สนุก เพลิน มีระเบิด มีการไล่ล่าต่อสู้ มีความลุ้นระทึกน่าติดตาม และที่สำคัญคือมีความฮาแทรกเป็นน้ำจิ้มตลอดทั้งเรื่อง แค่นี้ก็สุดยอดมากมายแล้วครับ