Those Who Wish Me Dead เข้าฉายในอเมริกาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม แม้จะยังเป็นช่วงที่โรงหนังในอเมริกายังไม่คึกคักนัก แต่สถานการณ์ในอเมริกานั้นแตกต่างในประเทศไทยราวฟ้ากับเหว เมื่ออเมริกาผู้คนได้ฉีดวัคซีนคุณภาพและภาครัฐสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนเพื่อกลับไปใช้วิถีชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง
เรื่องราวของ Those Who Wish Me Dead เล่าถึงชีวิตของคอนเนอร์ (ฟินน์ ลิตเติ้ล) และโอเวน (แจ็ค วีเบอร์) สองพ่อลูกที่กำลังหนีตายจากนักฆ่าซึ่งตามมาเด็ดหัวพวกเขา เนื่องจากโอเวนมีเอี่ยวกับคดีความเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ แม้ประเด็นจะดูลึกลับเคลือบแคลงและไม่ชัดเจน แต่ภัยครั้งนี้คือการฆ่าปิดปากที่โหดเหี้ยม
โอเวนพยายามขอความช่วยเหลือจากอีธาน (จอน เบิร์นตอล) นายอำเภอประจำพื้นที่ในมลรัฐมอนทาน่า เพื่อขอลี้ภัยไปอยู่ภายใต้การดูแล แต่ดูเหมือนโอเวนจะหนีไม่ทัน และเตือนให้คอนเนอร์ลูกชายหนีเข้าป่าไป ระหว่างนั้นเองคอนเนอร์ได้พบกับฮันนาห์ (แองเจลีน่า โจลี่) เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสโมคจัมพ์เปอร์ หน่วยดับไฟป่าทางอากาศ ที่ต้องทนทุกข์อยู่กับความเจ็บปวด หลังล้มเหลวในภารกิจช่วยผู้ประสบภัยเหตุไฟไหม้กว่าสามชีวิต
ฮันนาห์ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนหอคอยกลางป่า เริ่มสังเกตความผิดปกติของคอนเนอร์จนเธอเริ่มไถ่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมเขาจึงต้องหนีเข้าป่ามา เมื่อเธอรับทราบถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาในไม่ช้า ฮันนาห์รู้แล้วว่าสิ่งที่เธอต้องทำคือการปกป้องเด็กคนนี้ให้รอดพ้นจากการลอบสังหาร!
ผลงานการกำกับของ เทย์เลอร์ เชอริเดน เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องความอยุติธรรมในสังคม การฆ่าปิดปากอำพรางคดี ตำรวจกังฉิน โดยมีตัวเอกเป็นหญิงสาวที่มีปมปัญหาในชีวิต แต่การได้ช่วยเหลือเด็กชายผู้โชคร้ายในครั้งนี้อาจจะเป็นการไถ่บาปครั้งสำคัญในชีวิต ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นส่วนประกอบของหนังแนวคาวบอยตะวันตก ซึ่งโยกย้ายฉากหลังจากยุคล่าอาณานิคมให้กลายมาเป็นยุคสมัยปัจจุบัน ซึ่งความลุ้นระทึกของหนังคือการตะเกียกตะกายเอาตัวรอดของเหล่าตัวละครที่ต้องคอยหนีการตามล่าจาก แพทริก (นิโคลัส โฮลท์) และแจ็ค (เอแดน ทิลเลน) ที่เป็นเพชฌฆาตฝีมือดี โดยคนดูจะได้เห็นความเลือดเย็นของทั้งสองคนนี้ตั้งแต่ฉากแรกๆของเรื่อง
น่าเสียดายที่การเข้าฉายของ Those Who Wish Me Dead อาจจะไม่เหมาะกับช่วงเวลาและสถานการณ์บ้านเมืองในประเทศไทยสักเท่าไหร่ เนื่องจากผู้คนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดอยู่แล้ว การไปดูหนังที่จัดได้ว่าค่อนข้างหนักหน่วงในการนำเสนออาจจะยังไม่ตอบโจทย์ผู้ชม ยิ่งไปกว่านั้นคนไทยก็แทบจะยังมองไม่เห็น “ตอนจบ” ของสถานการณ์ครั้งนี้เลยด้วยซ้ำไป