Waiting for Rain รอวันฝนพร่ำ
รู้ใช่ไหม…กับความหมายของการรอคอย มันยาวนานแค่ไหน? เพราะนี่คือหนังเกาหลีฟีลดีๆ ที่จะมาถ่ายทอดความรักและความคิดถึงในวันวานกับ “Waiting for Rain” (รอวันฝนพร่ำ) ที่จะว่าเป็นหนังรักก็ไม่เต็มปาก เป็นหนังดราม่าเคล้าน้ำตาก็ไม่เชิง แต่ภายใต้องค์ประกอบต่างๆ นั้น หนังมีประเด็นหลักและประเด็นรองที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจ และกลั่นกรองออกมาได้เป็นหนังที่อาจจะยังไม่ถึงกับคำว่าสมบูรณ์แบบอะไร
Waiting for Rain เป็นเรื่องราวของ ชายหนุ่มผู้ที่ไม่มีความฝันใดๆ ในชีวิตเลย หลังจากที่พยายามพร่ำติวหนังสือมา 3 ปี เพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เขาจึงตัดสินใจเขียนจดหมายส่งไปหาเพื่อนสนิทตอนเด็กอย่าง โซยอน แต่ปรากฏว่าจดหมายของเขานั้น โซฮี น้องสาวของโซยอนเป็นผู้รับและเขียนตอบกลับแทน เนื่องจากพี่สาวของเธอกำลังป่วย เขาไม่รู้เลยว่าคนที่ตอบจดหมายเขามาโดยตลอดนั้นคือโซฮี และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความถวิลหาของคนหนุ่มสาวที่ต่างคนต่างอยู่คนละเมืองและช่วงจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน
นี่คือผลงานของผู้กำกับ “โจจินโม” (จาก The Suicide Forecast) ที่นานๆ เขาจะกลับมาทำหนังสักครั้ง โดยได้นักเขียน “ยูซงฮยอบ” กลับร่วมงานด้วยกันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าภาพฉาบหน้าของหนังจะมีกลิ่นอายเป็นหนังรักอบอวล แต่ปรากฏว่าเนื้อในของหนังเรื่องนี้กลับเป็นหนังชีวิตที่มีประเด็นหลักและประเด็นที่่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะแง่คิดของการดำเนินชีวิตและการย่ำอยู่กับการที่ยังไม่มูฟออนเดินหน้าไปจากจุดเดิมได้ไกล
ต้องยอมรับว่า Waiting for Rain อาจจะไม่ใช่หนังดราม่าโรแมนติกที่ดีอะไร พล็อตและการดำเนินการออกจะดูเชยไปหน่อยสำหรับในยุคปี 2021 แล้ว แต่ด้วยความที่ฉากหลังของเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคปี 2000 ต้นๆ จึงพอให้อภัยได้กับความพีเรียดเบาๆ ของหนังที่มีความเฉิ่มเชยไปหน่อย โดยที่การเล่าเรื่องช่วงแรกๆ ของหนังเกือบจะตกม้าตาย น้ำหนักการเล่าเรื่องค่อนข้างเบา ซ้ำยังแนะนำตัวละครต่างๆ ได้ยังไม่ดีเท่าที่ควร
แต่หนังกลับมาเร่งสปีดทำคะแนนได้เพิ่มขึ้นหลังจากผ่านไปได้สัก 30-40 นาที เรื่องราวเริ่มเข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น คนดูก็พลอยอินและลุ้นไปกับการเดินทางของตัวละครหลักที่หนังพยาพยามสื่อสารออกมา คงต้องบอกว่า “คังฮานึล” น่าจะแบกหนังทั้งเรื่องนี้เอาไว้เต็มๆ เพราะเขาคือตัวละครเดินเรื่องทั้งหมด อีกทั้งบทนี้ยังเป็นคาแรกเตอร์ที่มีมิติมากๆ ตัวหนึ่งเลย เพราะนี่ไม่ใช่พระเอกที่สมบูรณ์ตามมายาคติ เขาคือคนขี้แพ้ คนขี้เหงา และคนที่ยังติดอยู่กับอดีตเป็นส่วนใหญ่
ในขณะที่บทของ “โชอูฮี” นั้น ก็ถือว่ามีมิติเช่นเดียวกัน แต่รายละเอียดต่างๆ อาจจะเสียเปรียบตรงที่แอร์ไทม์น้อยกว่าหน่อย และดูเหมือนว่าคู่พระนางในหนังเรื่องนี้แทบจะไม่มีแอร์ไทม์ได้อยู่ในซีนเดียวกันเลยสักนิด เป็นกิมมิกของหนังรักที่ค่อนข้างประหลาดพอดู แต่กระนั้นประเด็นรองของหนังเรื่องนี้กลายเป็นจุดที่แข็งไม่เบาทีเดียว ไม่ว่าจะสะท้อนปัญหาสังคมการแข่งขันทางการศึกษาของเกาหลี ที่ต้องพยายามอย่างหนักให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
ตัวละครนำอย่าง ยองโฮ ได้เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดภาพของธรรมดาๆ คนหนึ่งได้อย่างถ่องแท้ เขาไม่ได้เป็นคนที่มีความฝันอะไร เรื่องเรียนก็ไม่ได้เก่ง ซ้ำยังต้องกดดันตัวเองเสมอๆ เมื่อต้องนำไปเปรียบเทียบกับพี่ชายหัวกะทิ ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีความมั่นใจในการเปิดใจรักใครที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าเธอคนนั้นจะช่างแสนดี แต่เพราะว่าเขายังคงติดอยู่กับอดีตรักแรกพบที่ยังตรึงตราในหัวใจไม่เคยลืม
โดยภาพรวมแล้ว Waiting for Rain คงจะยังไม่ใช่หนังรักที่ลงตัวไปทุกๆ อย่าง หนังยังมีส่วนขาดๆ เกินๆ มีโทนความสนุก มีช่วงที่น่าเบื่อ ปะปนอยู่ไปตลอดทั้งเรื่อง การเล่าเรื่องสลับไปมาพาชวนงงอยู่เล็กน้อย แต่กลับมีจังหวะในการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้เป็นหนึ่งเดียวตรงกลางได้เป็นอย่างดี มองดูไปแล้ว…หนังเรื่องนี้ก็แอบมีกลิ่นอายสไตล์หนังญี่ปุ่นอยู่เบาๆ การดีไซน์มุมภาพและแสงสีในหนังสวยเกือบทุกฉาก เพียงแค่ยังมีความเนื่อยและเชยๆ ผสมอยู่บ้างตลอดทั้งเรื่อง