สำหรับผมแล้ว หนังแนวกีฬาที่สร้างโดยอ้างอิงจากเรื่องจริงนี่เป็นอะไรที่เข้าทางมากๆ ครับ ดูแล้วมักถูกใจและได้อะไรติดหัวกลับมาเสมอ จะมากจะน้อยก็ว่ากันไป และสำหรับ When the Game Stands Tall เรื่องนี้ ก็อยู่ในข่ายหนังดีที่อยากแนะนำให้ลองดูกัน
หนังเล่าถึงเรื่องของโค้ชระดับตำนาน บ็อบ ลาดูเซอร์ (Jim Caviezel) ที่คุมทีมสปาร์ตันส์ ทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนเดอ ลา แซลล์ (De La Salle High School) ให้สามารถชนะมาได้ 151 นัดติดต่อกัน ซึ่งหนังก็จับเอาเหตุการณ์ในช่วงที่ชัยชนะของทีมเริ่มจะสั่นคลอนมาบอกเล่าครับ เล่าให้เราเห็นว่าคนในทีม ครอบครัวของพวกเขา และตัวบ็อบเองจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งจากภายในและภายนอกไปได้หรือไม่
แม้หนังจะว่าด้วยกีฬาแต่สัดส่วนระหว่างดราม่ากับการแข่งกีฬานั้น หนังจะเทไปที่ดราม่ามากกว่าหน่อยครับ ซึ่งโดยรวมถือว่าทำได้น่าติดตามดี หนังจะนำพาเราไปรู้จักกับแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะโค้ชบ็อบ ครอบครัวของเขา รวมไปถึงลูกทีมซึ่งแต่ละคนก็มีเรื่องราวของตน บางคนก็มีปมในใจ หรือบางคนก็มีวิธีคิดที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต (ทั้งในและนอกสนาม)
ตัวละครก็ถือว่ามีเยอะอยู่ครับ ช่วงต้นๆ ก็อาจจะต้องตั้งหลักสักหน่อย เพราะเดี๋ยวก็ตัดไปฉากคนนั้น เดี๋ยวก็ตัดมาฉากคนนี้ อาจจะงงๆ หน่อยว่าคนนี้ใคร คนนั้นใคร แต่พอดูไปสักครึ่งเรื่องก็จะเริ่มโอเคครับ และพอจะรู้สึกได้เลยว่าผู้กำกับ Thomas Carter คงพยายามเต็มที่แล้วล่ะในการร้อยเรียงเรื่องราว และเกลี่ยบทให้ตัวละครแบบทั่วถึงเท่าที่จะทำได้
หนังอาจไม่ได้กลมกล่อมลงล็อคไปเสียทั้งหมดครับ บางจังหวะก็อาจจะเรื่อยๆ บ้าง หรืออย่างตอนต้นก็อาจงงๆ นิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าหนังมีความน่าสนใจครับ เพราะแก่นสำคัญของหนังนั้นไม่ได้อยู่ที่เรื่องแพ้หรือชนะในสนาม แต่อยู่ที่เรื่องการใช้ชีวิตมากกว่า
ผมชอบแนวคิดของโค้ชบ็อบครับ สำหรับเขาแล้ว เรื่องแพ้ชนะในการแข่งขั้นถือเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องสำคัญจริงๆ ที่เขาอยากให้สมาชิกในทีมเข้าใจคือ คุณค่าอันแท้จริงของการเล่นกีฬา อย่างแรกเลยที่ถือเป็นประโยชน์ก็คือ การเล่นกีฬาช่วยเพิ่มพลานามัย ทำให้ร่างกายแข็งแรง และยิ่งเราแข่งมากฝึกมากก็ยิ่งเป็นการพัฒนาตนเอง เป็นการดึงเอาศักยภาพที่แท้จริงออกมาให้ได้มากที่สุด
ประโยชน์ต่อมาก็จะสอดคล้องกับเพลงกราวกีฬาในบ้านเราที่ว่า “กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำตนให้เป็นคน” ว่าง่ายๆ คือการเล่นกีฬานอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังสามารถใช้ฝึกฝนจิตใจตนเอง แต่ละครั้งที่นักกีฬาต้องเจอกับอุปสรรคขวากหนาม ก็ถือเป็นโอกาสฝึกให้ใจเข้มแข็งและพร้อมสู้พร้อมรับมือกับสารพัดปัญหาทั้งในสนามกีฬาและสนามชีวิต
หรือการแพ้ชนะที่เกิดขึ้น โค้ชบ้อบก็ไม่อยากให้สมาชิกยึดติดกับสิ่งเหล่านี้มากจนเกินไป แต่อยากให้มันเป็นสิ่งช่วยขัดเกลาจิตใจ ความคิดและมุมมอง กล่าวคือ อยากให้ “คน” ใช้ “เรื่องแพ้ชนะ” เป็นเครื่องมือยกระดับชีวิต – ไม่ใช่ปล่อยให้ “เรื่องแพ้ชนะ” ขึ้นมาขี่หลังกุมบังเหียนบงการ “คน“
และเหนือสิ่งอื่นใด โค้ชบ็อบอยากให้กีฬาเป็นตัวช่วยเสริมประสบการณ์ชีวิต เพื่อที่ผู้เล่นจะได้สามารถออกไปใช้ชีวิตในสังคมที่แสนซับซ้อนได้อย่างรู้เท่าทัน และสามารถ “เอาตัวรอด” ในสนามชีวิตได้ดีขึ้น
บอกตรงๆ ว่าผมดูหนังแล้วโคตรรักโค้ชบ็อบเลยครับ เอาแค่แนวคิดก็น่าเรียนรู้แล้ว ยิ่ง Caviezel ถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้ดีก็ยิ่งชอบไปกันใหญ่ คาแรคเตอร์ของโค้ชบ็อบจะเป็นคนพูดน้อย คิดเยอะ ชอบสื่อสารออกมาเป็นภาษากาย ซึ่ง Caviezel เล่นได้ดีจริงๆ โดยเฉพาะแววตาที่สื่ออารมณ์ได้ดีมาก ยิ่งฉากท้ายๆ นี่เราจะพอรู้สิ่งที่โค้ชคิด โดยไม่ต้องพูดออกมาสักคำ แค่มองตาก็เข้าใจแล้ว
เหตุที่ผมชอบหนังเรื่องนี้ก็คงเพราะหนังเป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องกีฬาครับ เป็นเรื่องของคนที่คลุกคลีอยู่กับกีฬามานานแสนนาน นานจนเข้าถึงหัวใจแก่นแกนอันมีค่าของการเล่นกีฬา ซึ่งมีหนังแนวนี้อยู่ไม่มากครับที่จะจับประเด็นเหล่านี้มาบอกเล่า ส่วนมากจะเน้นไปที่เรื่องแพ้ชนะหรือการลุ้นตอนแข่งขันเสียมากกว่า
เป็นหนังกีฬาอีกเรื่องที่คุ้มค่าแก่การรับชมครับ ดูแล้วได้แง่คิดดีๆ ได้เห็นแง่มุมการเล่นกีฬาที่ต่างออกไป และเป็นแง่มุมที่น่าศึกษาเสียด้วยสิ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)