ผมดู Where the Crawdads Sing อย่างมีความสุขครับ… โอเค ตัวหนังไม่ได้เป็นแนวเบาสมองแต่อย่างใดน่ะนะครับ อันที่จริงมันออกแนวดราม่าว่าด้วยวิบากชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกครอบครัวทอดทิ้งและยังถูกสังคมมองเป็นตัวประหลาดอีก มิหนำซ้ำล่าสุดยังโดนตั้งข้อหาเป็นฆาตกรด้วย
ครับ หนังแนวดราม่าผสมชีวิตลำเค็ญ แต่ผมสุขใจที่ได้ดู เพราะคิดถึงหนังแนวนี้อย่างยิ่ง มันมีน้อยลงเรื่อยๆ น่ะครับ นานๆ ทีถึงจะได้ดู แล้วก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ทำออกมาแล้วจะเวิร์กด้วย แต่เรื่องนี้เข้าข่ายเวิร์กครับ น่าพอใจมากเลยล่ะ ตัวหนังถือว่าน่าติดตาม การเดินเรื่องพอเหมาะกำลังดี ดาราก็ถือว่าสวมบทได้น่าพอใจ ภาพสวย โลเกชั่นได้ ดนตรีเข้า แต่ละสิ่งผสมผสานกันส่งผลให้หนังมีความกลมกล่อมตามแนวทางของมัน
Daisy Edgar-Jones ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องครับ กับบทคยา สาวทุ่งน้ำที่พบเจอเรื่องราวหลากหลาย ทั้งร้ายทั้งดี แต่ละสิ่งก็หล่อหลอมตัวตนของเธอให้เข้มแข็งขึ้นตามลำดับ ผมชอบที่เธอถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมาได้อย่างพอเหมาะ แววตาท่าทางยามใสซื่ออ่อนต่อโลกก็อย่างหนึ่ง ครั้นพอเจ็บปวดรวดร้าวก็จะเป็นอีกแบบ หรือยามที่รักใครวางใจใครก็สื่อออกมาได้อย่างดี – ตัวตนของเธอนั้นมีความซับซ้อนและเรียบง่ายผสมกลั้วกันอยู่ – ที่สำคัญคือเธอมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และเสน่ห์ที่ว่านี้ก็ดึงให้คนดูอย่างเราๆ คอยเอาใจช่วยเธอไปจนจบ
Taylor John Smith และ Harris Dickinson รับบทเป็นสองหนุ่มที่เข้ามาข้องแวะในชีวิตของเธอ โดยส่วนตัวผมว่าพวกเขาแสดงได้ดีครับ สื่อตัวตนของคาแรคเตอร์นั้นๆ ได้ดี แต่ก็รู้สึกครับว่าเวลาพวกเขาเข้าฉากกับนางเอก พลังส่วนใหญ่จะเทไปที่ Edgar-Jones มากกว่า
David Strathairn ถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของหนังครับ การแสดงของเขามักจะออกแนว Less is More คือไม่เล่นเยอะ แต่สื่อชัด รายนี้เล่นเป็นคนดีก็ได้ เป็นคนร้ายก็ลึก สำหรับเรื่องนี้เขารับบทเป็นทอม มิลตัน ทนายที่มาแก้ต่างคดีฆาตกรรมให้กับคยา ออกมาซีนแรกก็สัมผัสได้ถึงความโอบอ้อมแล้วครับ ถัดจากนั้นแต่ละซีนก็จะมาพร้อมพลังแบบนิ่มๆ ช่วยเสริมความแน่นให้กับหนังได้อย่างดี
อีกรายที่ไม่ชมไม่ได้คือ Sterling Macer Jr. ในบทจัมพิ่น ชายที่คอยห่วงใยและดูแลคยาตั้งแต่เธอยังเด็กๆ บทนี้น่ารักมากครับ ยิ่งตอนเขาออกท่าออกทางว่าห่วงคยาแบบจัดๆ หลังเธอได้เจอเรื่องร้ายนี่เล่นเอาน้ำตาซึมไปเลยล่ะ
หนังได้ Reese Witherspoon มาอำนวยการสร้างครับ แล้วหน้าที่กำกับก็เป็นของ Olivia Newman ที่เคยทำหนัง First Match ให้ Netflix แล้วก็มากำกับบางตอนของซีรี่ส์อย่าง Chicago Fire และ Chicago P.D. สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นหนังใหญ่เรื่องแรกครับ แล้วผลที่ได้ก็ถือว่าเข้าเป้านะ ส่วนหนึ่งเพราะได้ทีมงานที่ดี และตัวเธอเองก็คุมหนังได้อยู่ โทนของหนังมีความพอดีกลมกล่อม เป็นหนังดราม่าชีวิตรันทดแต่ไม่ถึงกับหนักหนาจนเกินไป (หลายปมในเรื่องนี่ถ้าหนักมือไปก็จะกลายเป็นหดหู่ไปเลย) มีส่วนผสมของความโรแมนติกและกลิ่นอายแห่งความหวังใส่เข้ามาอย่างลงตัว
งานดนตรีของ Mychael Danna ที่เคยได้ออสการ์จาก Life of Pi มาทำเรื่องนี้ก็ได้ใจครับ โทนออกแนวคันทรี่ มีกลิ่นอายหนองบึงคุ้งน้ำและใบไม้ใบหญ้ากลั่นรวมกันมาแบบกำลังดี งานภาพของ Polly Morgan ก็เหมาะกับรรยากาศของหนัง ได้อารมณ์เหมือนไปเดินเล่นตามท้องทุ่งคุ้งน้ำแถบนั้น
หนังคุ้มค่าน่าดูครับ ใครชอบแนวดราม่าแบบนี้อยากแนะนำให้ได้ดูกัน และอยากบอกว่าดีใจครับที่หนังประสบความสำเร็จทางรายได้ ทำเงินในอเมริกาไปกว่า $90 ล้าน หากรวมทั่วโลกก็ $140 ล้านจากทุนสร้างราวๆ $24 ล้านเท่านั้น – ดีใจด้วยจริงๆ ครับ
หนังสะท้อนความจริงในสังคมหลายอย่างอยู่ครับ ไม่ว่าจะการที่คนส่วนใหญ่พากันพิพากษาใครก็ตามที่ดูเแปลกแยกหรือแตกต่างจากพวกของตน หรือไม่ก็เชื่อในเสียงลือเสียงเล่าอ้างอย่างง่ายดายเพียงเพราะเขาเล่าต่อกันมา ก็ชวนให้นึกถึงเรื่องของไอ้ฟักในคำพิพากษา ของบ้านเราน่ะครับ
หรือประเด็นการที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกกระทำหนังก็นำเสนอแบบชัดๆ ครับ มันคือเรื่องจริงที่มีมาในทุกยุคทุกสมัย ผมเชื่อว่าในนาทีนี้ก็ยังมีผู้หญิงหรือผู้ที่อ่อนแอกว่ากำลังถูกคนที่มีอำนาจมากกว่าหรือแข็งแกร่งกว่ากระทำอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งเราก็รู้กันมานานแล้วน่ะนะครับว่ามันคือปัญหาที่คนเราควรทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือ เพื่อแก้ไข เพื่อทอนปัญหาให้มันลดลง ซึ่งบอกตรงๆ ว่าการรอให้ระบบ ระเบียบ หรือสังคมช่วยกันแก้นั้นมันต้องใช้เวลา (ที่น่าเศร้าคือบางครั้งปัญหานี้ก็ถูก Pause ไว้ เพราะบางคนมองว่าไม่สำคัญและมองว่าเรื่องอื่นสำคัญกว่า – ไม่เกิดกับตัวเอง ก็ไม่รู้)
จริงๆ ถ้าทุกคนตระหนักเรื่องนี้แล้วช่วยเหลือกันแบบที่คุณจัมพิ่นทำ มันคงช่วยได้เยอะเลยแหละ – แต่ความจริงของโลกเป็นอย่างไร… ผมว่าเราก็คงรู้ๆ กัน เพราะก็มีข่าวเรื่องพวกนี้ออกมาทุกวัน
อันนี้แอบคิดดังๆ น่ะนะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าที่หนังเรื่องนี้ (รวมถึงนิยาย) ได้รับความนิยมอย่างมากนั้น จะเป็นเพราะว่าเนื้อหามันสื่อเป็นนัยๆ ว่า “หากอยากรอดจากปัญหาแบบนี้ ต้อง-จัดการ-เอง” – เหมือนตีแสกหน้าแล้วโดนใจใครหลายคน
สำหรับบทสรุปของเรื่อง ผมเชื่อว่าก็คงจะมีหลายมุมมองอีกนั่นแหละ บางคนเห็นด้วย-เข้าใจในความจำเป็น แต่บางคนอาจเห็นต่าง-มองว่าควรมีวิธีที่ดีกว่า เรื่องนี้โต้แย้งกันต่อได้เรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น เพราะแต่ละคนก็มีพื้นฐานความคิดและประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันไป – ต่างคนก็ต่างวิจารณญาณกันไป
ส่วนผมนั้น ขอพูดเพียงสั้นๆ ว่า “ผมโอเคกับตอนจบแบบนี้ครับ”
สรุปอีกครั้งว่านี่เป็นหนังดราม่าที่คุ้มค่าแก่การดู
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)