Wonder Woman 1984
แน่นอนว่า…นี่เป็นหนึ่งในหนังหลายๆ คน รวมทั้งเราต่างเฝ้ารอคอยจะได้ดูกันในปีนี้ “Wonder Woman 1984” กลายกลับมาของสาวน้อยมหัศจรรย์ภาคต่อ ที่เป็นหนังอันทรงคุณค่าของดีซี คอมิกส์ ที่ตัดสินใจนำมาเป็นโปรแกรมทองในช่วงส่งท้ายปีหฤโหดจากไวรัสร้ายเช่นนี้ ว่าแต่การกลับมาของเธอในครั้งนี้จะดูดีมีราคาสมราคาคุยหรือไม่
Wonder Woman 1984 มีฉากหลังเกิดขึ้นในปีที่อยู่บนชื่อเรื่อง เพราะเป็นช่วงที่สังคมกำลังเข้าสู่การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงไปสู่แนวทางใหม่ๆ หลายอย่าง ไดอาน่า พรินซ์ ยังคงใช้ชีวิตอย่างโดดเด่นมาหลายทศวรรษ หลังจากที่สงครามโลกสิ้นสุดลงถึง 2 ครั้ง และดูเหมือนสงครามครั้งใหม่กำลังจะปะทุขึ้นจากความโลภของคนคนหนึ่ง อีกทั้งยังทำให้เธอได้เผชิญหน้ากับคนรักเก่าของ สตีฟ เทรเวอร์ อีกครั้งอย่างน่าประหลาดใจ
หลักๆ ก็คงจะต้องชมเชยในประเด็นหลักที่หนังต้องการสื่อสารออกมา ในภาคนี้จะเห็นได้ชัดว่าผู้กำกับ “แพตตี้ เจนกินส์” ได้มีอิสระในการสร้างสรรค์หนังมากยิ่งขึ้น เปิดกว้างในมุมมองและวิถีเล่าเรื่องของเธอ รวมทั้งประเด็นที่อยากจะสื่อสารมายังคนดู หนังเลือกที่จะใช้เรื่อง ‘ความรัก’ มาเป็นส่วนเชื่อมโยงของเรื่อง ที่แน่นอนว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าโดยรวมๆ แล้วยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ควร
ผู้กำกับหญิงมือฉมังได้แต่งเติมความเป็นมนุษย์ปถุชนให้กับ Wonder Woman ในภาคนี้ ทำให้เห็นเลือดเนื้อของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง มีรัก มีเสียใจ มีเจ็บ มีผิดหวัง เพราะกิเลสทั้งหมดล้วนนำไปสู่การขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแบบฉบับสูตรสำเร็จ และยังพยายามสื่อให้เห็นว่าซูเปอร์ฮีโร่สุดแกร่ง…ก็มีอีกมุมอีกด้านที่ยังคงมีหัวใจในการนำทางอยู่
การเลือกฉากหลังเป็นในช่วงปี 1984 นับว่าเป็นความชาญฉลาดอย่างหนึ่ง เพราะดูเหมือนจะเป็นปีที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่ แต่ปัญหาเรื่องสงครามเย็นที่คุกรุ่นเรื่อยๆ ในยุคนั้นก็สามารถถูกนำมาเชื่อมโยงเข้ากับประเด็นในหนังได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังต่อยอดไปถึงช่วงยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเข้าสู่สังคมเทคโนโลยีที่กำลังจะก่อตัวขึ้นในสมัยนั้นด้วย
“กัล กาด็อท” ยังคงกลับมาได้อย่างเฉิดฉายในบท วันเดอร์ วูแมน อีกครั้ง คาแรกเตอร์นี้ยังคงเหมาะสมกับเธอไม่เสื่อมคลาย หลังจากรับบทนี้มาในหนัง 2-3 เรื่อง ความคล่องตัวในการทำให้เชื่อว่าเธอเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์จริงๆ โดยไม่มีข้อครหา แม้ว่าในภาคนี้จะมอบมิติให้กับคาแรกเตอร์ในลักษณะกระด้างไปสักหน่อย ถึงจะพยายามเติมเลือดเนื้อเข้าไปให้แล้ว แต่ก็ยังดูเป็นฮีโร่หญิงที่มีส่วนขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง
ในเมื่อ Wonder Woman 1984 มาพร้อมกับประเด็นที่ดี จุดขายดราม่าที่โดดเด่นตามสไตล์หนังดีซี แต่จึงด้อยหลักๆ ของหนังกลายเป็นโทนความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ที่เชื่อว่าคนดูหนังทั่วไปจะต้องรู้สึกได้ในแบบเดียวกัน เพราะหนังได้เน้นชูประเด็นหลักกับการขายดราม่า จนบางทีก็หลงลืมที่จะเซอร์วิสแฟนๆ ที่จะต้องการมาดูความน่าตื่นตาตื่นใจกับความอึกทึกครึกโครมที่มักจะหาดูได้จากหนังแนวนี้
Wonder Woman ภาคนี้กลายเป็นหนังที่ไม่ได้เน้นฉากต่อสู้ใช้ความรุนแรง และอีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นรักดราม่าโลกแตกที่มีสิทธิเข้าชิงออสการ์ได้แล้ว กลับกลายเป็นว่าฉากบู๊เน้นๆ สะใจที่อยู่ในหนังนั้น ได้เผยออกมาแทบจะทั้งหมดในทีเซอร์ตัวอย่างที่ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยกันในช่วงปีที่ผ่านมา และกลายเป็นฉากต่อสู้ที่ไม่มีความน่าตื่นเต้นอะไรทั้งนั้น
หนังยังใช้แคสติ้งนักแสดงได้แบบขาดๆ เกินๆ การกลับมาของ “คริส ไพน์” ที่ทำให้แฟนๆ หลายคนสงสัยว่าอะไรยังไงกัน แต่การมาปรากฏตัวของเขาไม่ต่างกับโผล่มาเป็นแค่นักแสดงรับเชิญ เพราะกลายเป็น สตีฟ เทรเวอร์ ที่ไม่มีกึ๋นและบทชั้นต่างๆ ที่เป็นชิ้นเป็นอัน มาเป็นเพียงแค่ตัวเสริมเรื่องราวแต่เท่านั้น
เช่นเดียวกับ “คริสเตน วิก” ที่อุตส่าห์ได้รับเกียรติมาเป็นวายร้าย “นางเสือชีตาห์” ในภาคนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าหนังใช้งานและเซอร์วิสแฟนๆ เกี่ยวตัวละครนี้ได้ไม่เท่าที่ควร ปูเรื่องมาจะเนิ่นนาน พอมาถึงจุดไคลแม็กซ์สำคัญกับมีอยู่เพียงนิดเดียว และเข้าสู่บทสรุปง่ายๆ ที่บอกเลยว่าคนดูอย่าได้กะพริบตาเชียว ไม่เช่นนั้นก็พลาดได้
ขณะที่ความโดดเด่นตกลงอยู่ในบท แม็กซ์เวล ลอร์ด ที่รับโดย “เปโดร ปาสคาล” กลายเป็นคาแรกเตอร์ที่เล่นใหญ่…ถึงใหญ่มาก ใหญ่แบบคับจอ บางครั้งก็ใหญ่เกินไปจนดูน่าหงุดหงิดและรำคาญใจไปหน่อย แต่ก็ถือว่านี่เป็นตัวละครที่มีมิติมากที่สุดในหนังภาคนี้แล้ว หนังเลือกที่ให้ความสำคัญกับคาแรกเตอร์มากๆ บางทีก็อาจจะมากกว่า วันเดอร์ วูแมน เสียด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่า เปโดร ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีเช่นกัน
และเมื่อมองเป็นภาพรวมกว้างๆ จึงทำให้พบว่า Wonder Woman 1984 เป็นหนังที่โทนที่ค่อนข้างจำเจ ตามแบบฉบับหนังของดีซี แม้จะเห็นได้ว่าหนังพยายามฉีกไปในอีกทิศทาง แต่กลับกลายเป็นลืมเซอร์วิสแฟนๆ ไปอย่างเสียดาย จากหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ควรจะมีระเบิดตู้มตามแบบที่คนที่ตั้งใจหวัง กลายเป็นหนังสู้เพื่อรัก ถ้าหากว่า Batman v Superman เป็นตัวแทนพลังความรักจากแม่ที่สยบทุกเรื่องราวได้ ใน Wonder Woman 1984 ก็อาจจะเป็นตัวแทนพลังความรักจากพ่อก็ว่าได้
Wonder Woman 1984 น่าจะเป็นหนังฮีโร่ที่บรรดานักวิจารณ์จะพากันชื่นชอบ เพราะประเด็นที่ดีและสัมผัสเข้าถึงจิตใจของคนดูเพื่อวิจารณ์ แต่ในอีกมุมหนึ่งแล้ว หนังอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ให้กับคนดูหนังทั่วๆ ไปได้เท่าที่ควร เพราะพวกเขาต่างอยากจะเข้าไปดูความบันเทิงแบบไม่ต้องวิเคราะห์ใดๆ สาดกระสุน-ปล่อยพลังนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นในหนังมากกว่าในช่วงเวลานี้
โดยสรุปแล้ว Wonder Woman 1984 ไม่ได้เป็นหนังที่ย่ำแย่อะไรแต่อย่างใด เพราะหนังยังมีประเด็นที่แข็งแรง เพียงแต่หนังอาจจะเลือกใส่องค์ประกอบต่างๆ มาในจังหวะที่ยังไม่ค่อยลงตัวมากนัก และอาจจะยังไม่ตรงใจคนดูหนังที่มีวัตถุประสงค์หลักที่จะมาดูฮีโร่คนโปรดของพวกเขา แม้จะมีเรื่องราวและความที่ทรงพลังในภาคนี้ แต่ก็แอบน่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่สาวน้อยมหัศจรรย์กลับมาในครั้งนี้…ไม่เป็นที่น่าจดใจสักเท่าไหร่
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Wonder Woman 1984
ประเภท: แอคชั่น / ผจญภัย
ผู้กำกับ: แพตตี้ เจนกินส์
นำแสดงโดย: กัล กาด็อท, คริส ไพน์, คริสเตน วิก, เปโดร ปาลคาส
ความยาว: 152 นาที
เข้าฉาย: 17 ธันวาคม 2020
Movie.TrueID METRIC: Wonder Woman 1984
ภาพรวม: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
การเล่าเรื่อง: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
การแสดง: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
บทภาพยนตร์: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)