ระหว่างดู X-Men ภาคนี้ผมก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวครับ… ผมนึกถึงประเด็นที่ว่า “ข่าวๆ หนึ่ง มีรสชาติแตกต่างกันออกไปยามที่ทีวีแต่ละช่องรายงานข่าวนั้นๆ”
ข่าวเดียวกัน แต่เวลาช่อง 3 รายงานก็แบบหนึ่ง – ช่อง 7 รายงานก็แบบหนึ่ง – ช่อง Amarin ก็แบบหนึ่ง และความรู้สึกที่เรามีมันก็จะต่างกันไป รสชาติของข่าวนั้นๆ ขึ้นกับว่ามันถูกพิธีกรบอกเล่าแบบไหน ลีลาพิธีกรที่เล่าเป็นอย่างไร ฯลฯ
ข่าวที่ดูเครียดๆ ข่าวหนึ่ง อาจดูเครียดยิ่งขึ้นเมื่อช่องหนึ่งรายงาน แต่อาจจะดูบันเทิงไปเลยเมื่อถูกรายงานโดยพิธีกรอีกช่องหนึ่ง
ดังนั้นแม้ตัวเนื้อหาข่าวจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือการเล่าเรื่อง หากเล่าแบบนิ่งๆ เหมือนท่องให้ฟัง ความน่าสนใจที่เรามีให้ก็จะแค่ระดับหนึ่ง (หรืออาจไม่รู้สึกสนใจเลย) แต่ถ้าอยากให้คนดูคนฟังสนใจมากหน่อย มันก็ต้องมีลูกเล่นลีลากระตุ้นให้เราอยากติดตามต่อบ้าง
ไม่งั้นเรานั่งอ่านข่าวอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต่างกัน
กลับมาที่ X-Men: Dark Phoenix… ภาคนี้เป็นภาคที่เครียดครับ เนื้อเรื่องเครียด การนำเสนอเครียด เรียกได้ว่าที่มัน Dark นี่ไม่ใช่แค่ Phoenix ครับ แต่เหล่า X-Men มันพากัน Dark ทั้งหมดเลย
ผมย้อนนึกไปถึงภาคก่อนๆ… จริงๆ แต่ละภาคก็มีความจริงจังเคร่งเครียดในส่วนของเนื้อหาไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างเนื้อเรื่องภาค Dark Phoenix นี่จริงๆ ก็คือภาค The Last Stand นี่แหละ โครงเรื่องมาทางเดียวกัน เมื่อ จีน เกรย์ (Sophie Turner) คุมพลังตัวเองไม่ได้จนก่อหายนะถึงขั้นผลาญชีวิตคน ทำให้เหล่าเอ็กซ์เมนต้องมาหาทางหยุดยั้งเธอ และหนนี้ยังมีวายร้ายลึกลับ (Jessica Chastain) โผล่มาสร้างความหายนะร่วมกับจีนอีกด้วย
หากเทียบกับ The Last Stand แล้ว ผมรู้สึกสนุกกับภาคนั้นมากกว่าครับ เพราะการเล่ามันสนุก มันยังมีลูกเล่น พล็อตหลักพล็อตรองชวนให้ติดตาม และที่สำคัญคืออารมณ์ระหว่างดูมันมีขึ้นมีลง มีมันส์บ้าง มีหม่นบ้าง มีสนุกบ้าง มีหดหู่บ้าง ไม่ได้เทไปโทนใดโทนหนังเสียทีเดียว
แต่กับภาคนี้ อารมณ์ผมมันเทครับ เทไปทางเครียดและหม่นอย่างเดียวเลย
ความรู้สึกแรกของผมที่มีต่อหนังก็คือ หนังมันเครียดเกินจนไม่รู้สึกสนุกไปกับหนังครับ คือจริงๆ ผมไม่มีปัญหากับหนังเครียดนะ แต่ผมเชื่อว่าหนังจะอร่อยหรือไม่นั้น ความพอเหมาะพอดีเป็นเรื่องสำคัญ แม้หนังเรื่องนั้นๆ จะมาพร้อมเรื่องราวที่เคร่งเครียดก็เถอะ แต่หากหนังเล่าในระดับที่พอเหมาะ มีทั้งความจริงจัง และมีช่วงพักช่วงผ่อน มีความเศร้าความหวังเอามาผสมกัน ก็จะทำให้แม้มันจะเป็นหนังที่ดูเครียด แต่เราๆ ท่านๆ ก็จะสามารถดูได้อย่างสนุกและเพลิดเพลิน มันจะมีความกลมกล่อมในแบบของมัน
และ X-Men ภาคก่อนหน้านี้ อย่างที่บอกครับว่าจริงๆ เนื้อเรื่องมันก็เครียดและคอขาดบาดตายพอกันนั่นแหละ แต่จังหวะของหนังมันก็ยังมีความสนุก มีความมันส์ มีสไตล์ มีอารมณ์ขันแทรกอยู่ อีกทั้งมีการทิ้งปมชวนให้เราตามดูตามลุ้นต่อไป มีจุดพลิกผันให้เราสวิงสวายใจหายบ้าง อะไรเหล่านี้คือพลังสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้หนังชุด X-Men สร้างความบันเทิงให้ผู้ชม (ที่ชอบ) ชื่นชอบมาเกือบ 20 ปี
แต่กับภาคนี้ หนังเล่าเรื่องเครียดแบบเครียดจริงๆ ครับ ไม่มีช่วงพักให้เราได้หย่อนใจเลย และปัญหาสำคัญคือหนังไม่ได้มีการทิ้งปม ไม่มีจุดพลิกผัน คือเราสามารถเดาได้ตั้งแต่ตอนดูตัวอย่างเลยว่าจีนจะเกิดเรื่อง กลายเป็นฟีนิกซ์ และสร้างหายนะไม่หยุด จนสุดท้ายเหล่า X-Men ก็ต้องลุย และต้องปะทะกับพวกวายร้ายลึกลับนั่นแน่ๆ คือทุกอย่างมันเป็นเส้นตรงน่ะครับ ไม่มีหักเหพลิกผัน และยิ่งหนังมาซ้ำเส้นเรื่องกับ The Last Stand ด้วย มันเลยเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไรแปลกใหม่
ขนาดฉากสุดท้ายของภาคนี้นี่ ผมเชื่อว่าแฟน X-Men ทั้งหลายก็คงคิดในใจว่า “อืมม์ ก็กะแล้วล่ะว่าจะต้องมีฉากนี้ -ตูว่าแล้ว” แต่มันจะไม่ใช่ “โอ้ ว้าว ตะลึง นึกไม่ถึง!”
และภาคนี้ก็มีเหตุให้ X-Men 2 ฝ่ายต้องปะทะกัน ซึ่งจริงๆ อันนี้ก็ไม่ใช่อะไรใหม่อีกเหมือนกันครับ เพราะ X-Men ทุกภาคมันมีการแบ่งฝ่าย-แบ่งขั้วกันอยู่เสมอ เพียงแต่ภาคอื่นๆ นั้นการแบ่งฝ่ายมันจะมาพร้อมประเด็นชวนคิด การแบ่งฝ่ายไม่ได้เกิดแบบจู่ๆ ก็แบ่งกันตามสูตร แต่มันแบ่งกันเพราะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น และแนวคิดที่คนมีต่อเหตุการณ์นั้นก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วใหญ่ๆ กล่าวคือมันไม่ใช่แค่ยกพวกตีกัน แต่มันคือการปะทะกันทางขั้วความคิดที่มีอะไรมากกว่าแค่การใช้อารมณ์มาซัดกัน
ทว่าภาคนี้ตัวละครเหมือนจะพกอารมณ์กันมาเต็มกระเป๋า การปะทะต่อสู้กันมันเกิดจากความโกรธและความแค้นเป็นหลัก… ปกติฉาก X-Men 2 ฝ่ายสู้กันมันคือไฮไลท์อย่างหนึ่งนะ แต่กับภาคนี้มันทำให้รู้สึกว่า “เฮ้ย เดี๋ยว ใจเย็นก่อน จะตีกันทำไม สติไปไหนกันหมด เฮ้ย” ว่าง่ายๆ คือนอกจากการตีกันจะไม่มันส์แล้ว ยังทำให้เรารู้สึกไม่อิน ไม่สนุกเลยกับการตีกันหนนี้
และสิ่งที่รู้สึกหนักๆ เลยในภาคนี้คือ ฉากต่อสู้มันธรรมดาเหลือเกิน มันไม่มีความเร้าใจตื่นตาแบบ X-Men ตอนอื่นๆ และอันที่จริงคือมันดูไม่มีพลังเท่าหนังซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ เลย (ในขณะที่ภาคนี้ลงทุนไป $200 ล้าน เท่ากับ X-Men: Days of Future Past)
อีกอย่างที่รู้สึกว่าหายไป ก็คือสายใยสายสัมพันธ์ของตัวละครครับ เพราะ 3 ภาคที่ผ่านมา (First Class, Days of Future Past และ Apocalypse) สิ่งที่หนังนำเสนอมาโดยตลอดคือปมระหว่างเซเวียร์ (James McAvoy), แม็กนีโต้ (Michael Fassbender) และมิสทีก (Jennifer Lawrence) ซึ่งถือเป็นปมหนึ่งที่สร้างความน่าติดตามให้หนังมาได้ตลอด แต่ภาคนี้ปมถูกตัดหายไปเลยครับ และนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังภาคนี้ดูแปลกหน้าแปลกตาไป
สารภาพตามตรงว่าตอนจบภาค Apocalypse นั้น ผมเคยแอบคิดนะว่าทิศทางของ X-Men ถัดจากนั้นมันอาจจะมีอะไรใหม่ๆ มา เช่นเล่าเส้นเรื่องที่เราเคยรู้มาแล้ว แต่หักเหไปในทิศทางใหม่ แต่ไปๆ มาๆ ภาคนี้มันคือภาค The Last Stand เวอร์ชั่นเทอารมณ์ไปทางเครียด ตึง หดหู่ ดูไร้ความหวัง และตัดทอนเอาความสนุก บันเทิง เพลิดเพลินออกไป… ผมรู้สึกว่ามันเข้าใกล้ Fantastic Four ฉบับใหม่มากกว่าที่จะเป็น X-Men แบบที่เราติดตามมาเกือบ 20 ปี
แล้วพอหนังไม่ทำเงิน สักพักก็มีข่าวเกี่ยวกับปัญหาในการสร้างเผยแพร่ออกมา ว่าหนังยังไม่สมบูรณ์ หนังถูกตัดงบ หนังถูกตัดทอน (เพราะว่ากันว่าจริงๆ หนังจะถูกทำออกมาเป็น 2 ภาค) แต่ไม่ว่าจะอย่างไรหนังก็ออกมาแล้วน่ะครับ ออกมาเป็นอย่างที่เราเห็น และมันไม่สนุกสักเท่าไรจนบอกได้เลยว่านี่คือ X-Men ภาคที่ผมชอบน้อยที่สุด
ก็เห็นใจผู้กำกับ Simon Kinberg เหมือนกันครับ เขาจับงานกำกับหนังใหญ่เป็นครั้งแรก หลังจากเป็นมือเขียนบทและเป็นผู้อำนวยการสร้างมานาน และจากผลงานนี้ก็ทำให้ผมนึกถึง David S. Goyer ซึ่งผมว่ามาทางเดียวกันครับ พวกเขาต่างก็เป็นมือเขียนบทหนังที่ได้รับการยอมรับ (โดยเฉพาะหนังซูเปอร์ฮีโร่) แต่พอมากำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่เข้าจริงๆ ผลงานก็กลายเป็นอะไรที่ธรรมดา-หรืออาจถึงขั้นไม่น่าจดจำสำหรับใครหลายๆ คน และในกรณีของ Kinberg ก็คงเจออะไรหลายอย่างเพราะเป็นช่วงที่ค่าย Fox โดนค่าย Disney ควบรวมกิจการพอดี
จริงๆ ก็สังหรณ์แล้วล่ะครับว่า X-Men มันจะได้ไปต่ออีกไหม หาก Fox มาอยู่ใต้ Disney (ที่กุมแบรนด์ Marvel ไว้) แล้วพอได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็เริ่มเห็นแววว่า X-Men ชุดนี้อาจกลายเป็นอดีต หรือแม้จะได้ไปต่อ แต่คนกุมบังเหียนก็อาจจะไม่ได้ทีมงานชุดเดิมอีกก็เป็นได้ (อารมณ์เหมือนซีรีส์ Marvel ของ Netflix ที่โดนทำให้จบทั้งหมดนั่นล่ะครับ)
แต่กระนั้น แม้หนังจะออกมาธรรมดา แต่อย่างน้อยองค์ประกอบในหนังก็มีของดีอยู่ในนั้นหลายอย่างครับ อย่างดาราหลักที่เล่นได้ดีตามที่บทกำหนด (แต่บทก็กำหนดให้พวกเขาแสดงแบบไม่สมกับความสามารถของพวกเขาเลย) งานเทคนิคต่างๆ ถือว่าดี และยังได้ Hans Zimmer มาทำดนตรีให้อีก
ทว่าแม้จะมีของดีเพียงไหน แต่หากปรุงไม่ได้ที่ ปรุงไม่ออกรส มันก็จะไม่ได้ความกลมกล่อมอยู่ดี
ครับ ก็ถือว่าเป็น X-Men ภาคที่ไม่สมหวังสักเท่าไร
สองดาวเชิงลบครับ
(6/10)
****ถัดจากนี้ขอสปอยล์หน่อยนะครับ****
หนึ่งในสิ่งที่ผมเสียดายมากๆ ก็คือควิกซิลเวอร์ไม่มีบทเลยครับ โผล่นิดเดียว และจริงๆ นะ ผมว่าหนังสามารถเล่นเรื่องพ่อลูกระหว่างแม็กนีโต้กับควิกซิลเวอร์ก็ได้ เพราะเรื่อง Dark Phoenix ก็เคยเล่นไปแล้ว ก็น่าจะหาโอกาสเล่นเรื่องของตัวละครอื่นบ้าง และที่ผ่านมาก็มีควิกซิลเวอร์นี่แหละครับที่ขโมยซีนได้มากที่สุด และดูน่าสนใจที่สุด
ขนาด Evan Peters เองยังบ่นว่าเสียดายเลยครับ แต่ในแง่หนึ่งก็พอเข้าใจน่ะว่าอนาคตของ X-Men ทีมนี้อาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อาจโดน Marvel รีบูทใหม่ได้ตลอดเวลา
จุดนี้ก็รู้สึกเสียดายจริงๆ ครับ
ในขณะที่ฉากต่อสู้กันในตอนไคลแม็กซ์นั้น จริงๆ ก็ไม่เลวครับ แต่กว่าจะมาถึงฉากนั้นมันก็ช้าไปแล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างที่เดาไว้ แม้ X-Men จะแตกเป็น 2 ฝ่าย แต่สุดท้ายก็ต้องมาร่วมมือกัน ซึ่งฉากแบบนี้มันก็ซ้ำทางอีกครับ ซ้ำกับภาค Apocalyse แบบเต็มๆ เลย รวมไปถึงตอนจบที่สุดท้ายจีนก็ต้องมาตายอีกหน แต่ผมว่าตอนที่จีนต้องตายเพราะโดนโลแกนปักกรงเล็บใส่ใน The Last Stand นั้น มันบีบเค้นในความรู้สึกมากกว่า
และที่สำคัญคือฉากทิ้งเชื้อตอนท้ายที่ทำให้เราเห็นเปลวพลังล่องลอยอยู่บนฟ้า ซึ่งก็คงเป็นจีนนั่นแหละครับ นี่ก็ซ้ำกับฉกกจบ X-Men 2 แต่ผมจำได้เลยว่าตอนที่ภาค 2 จบแบบนั้นนี่มันทำให้ผมขนลุกตื่นเต้นเลยนะ แต่กับภาคนี้มันรู้สึกซ้ำซากน่ะครับ
ทุกสิ่งมีจุดเริ่ม ย่อมมีจุดจบ ผมเข้าใจคำกล่าวนี้ครับ และสำหรับผมแล้ว ผมถือว่าจุดจบของ X-Men เวอร์ชั่นนี้ (เวอร์ชั่นชุดปี 2000 เป็นต้นมา) คือ Logan ครับ มันเป็นการจบที่สวยงาม ทรงพลัง และสมบูรณ์ที่สุดแล้ว…