การ์ตูนจาก Disney หลังๆ ก็ถือว่ากลับมาอยู่ตัวแล้วครับ ออกมาสนุก น่าพอใจ ให้แง่คิด เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี แม้จะไม่สุดยอดมากมายเท่า Pixar แต่ก็ถือว่าห่างกันไม่เท่าไร
Zootopia บอกเล่าถึงเรื่องของกระต่ายน้อยที่ใจไม่เล็กนามว่า จูดี้ ฮ็อบส์ ซึ่งฝันของเธอคือการได้เป็นตำรวจพิทักษ์ความสงบสุขในเมืองใหญ่อย่างซูโทเปีย แต่ก็แน่นอนว่าฝันของเธอนั้นถูกมองว่าเป็นแค่ฝันลมๆ เท่านั้น
แต่ในที่สุดจูดี้ก็ทำได้ครับ เธอสามารถเป็นตำรวจไปประจำการในเมืองซูโทเปียได้สำเร็จ และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งสำคัญ เพราะกำลังมีคดีใหญ่มากๆ รอให้เธอไปจัดการ (เป็นคดีใหญ่ตามสูตรครับ คือคดีที่จริงๆ สำคัญมาก แต่ไม่มีใครสนใจ มีแต่จูดี้ที่เอะใจเกี่ยวกับมัน)
ในแง่ความบันเทิงแล้ว หนังตอบโจทย์ได้ดีครับ เล่าได้สนุกและน่าติดตาม คาแรคเตอร์ตัวละครชัดเจนตามสไตล์หนังการ์ตูน ตัวเอกอย่างจูดี้ก็มุ่งมั่นแบบเกินร้อย หรือพ่อแม่ของจูดี้ก็ต้องออกแนวรักลูกห่วงลูกแบบจัดๆ แล้วก็มีตัวละครกวนๆ มาเพิ่มความฮา, มีคนในกรมตำรวจที่ไม่ชอบเด็กใหม่ไฟแรง อะไรเหล่านี้เป็นต้น
และที่ขาดไม่ได้คือตัวละครที่เป็นตัวร้าย ก็มาพร้อมกับสไตล์คุ้นเคยสำหรับหนังการ์ตูนที่ผสมการสืบสวนแบบนี้ (คือบอกตรงๆ คงไม่ได้ครับ มันอาจสปอยล์ แต่เอาเป็นว่าตัวร้ายในหนังการ์ตูนแนวนี้ มักมาโทนนี่เป็นประจำ)
ในแง่เนื้อเรื่องก็น่าติดตามดีครับ จริงๆ หลายอย่างเดาได้นั่นแหละ อย่างเรื่องคดีหรือตัวการใหญ่ แต่หนังก็เล่าได้ลื่นไหล จนแม้ทุกอย่างจะไม่ได้เกินคาด แต่มันก็ออกมาสนุกและเพลิดเพลิน มีความสุขระหว่างดู และมีความสุขหลังดูจบ
ผมชอบการออกแบบเมืองซูโทเปียนะ เมืองแต่ละโซนก็มีเอกลักษณ์น่าจดจำ ผมชอบโซนที่เป็นป่าสุดล่ะครับ ดูเขียวขจีและสวยงามดี ในใจแอบอยากให้มีฉากไล่ล่าในโซนนี้ มันน่าจะสนุกและตื่นเต้นไม่น้อยเลย (ชวนให้นึกถึง Avatar น่ะครับ)
ในแง่ความฮา ผมว่าใช้ได้เลยครับ หลายมุกนี่คอหนังต้องฮาแน่ๆ โดยเฉพาะมุกเจ้าพ่อนี่ใครดู The Godfather มาต้องฮากระจาย เพราะทุกอย่างมันใช่แบบเต็มๆ น่ะครับ ทั้งบรรยากาศ คำพูด หรือจังหวะที่เกิดเหตุ เป็นการล้อที่น่ารักมากๆ
และที่ผมชอบคือไม่ใช่การล้อแบบเลอะเทอะนะ คือมันล้อเลียนให้ขำก็จริง แต่ก็อยู่ในเรื่องในราว ซึ่งแต่ละมุกที่ใส่เข้ามานี่ก็อยู่ในเรื่องราวหมดครับ ประเภทจงใจล้อแล้วพอไปนอกเรื่องน่ะไม่ค่อยมี ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่หนังการ์ตูนหลายเรื่องชอบพลาดกันน่ะครับ คือล้อแบบนอกเรื่อง จนหนังเสียกระบวนไป แต่กับเรื่องนี้ถือว่าล้อได้ตรงเป้าและเข้ากับเรื่องดีครับ
ในแง่ของสาระหนังก็สอดแทรกเรื่องชวนคิดไว้หลายอย่างครับ มีทั้งระดับทั่วไปและระดับที่ชวนให้มองลึกขึ้นไปหน่อย ซึ่งถ้าเป็นแง่คิดคลาสสิกก็อย่างเช่น “จงหมั่นเพียรเดินตามความฝันเถิด ขอเพียงเดินหน้าและทุ่มเทให้มากพอแล้ว สักวันก็จะเกิดผล”
หรือ “คนเราเปลี่ยนแปลงได้และพัฒนาได้เสมอ อย่าให้ใครมาตีตราบอกว่าเราจะดีกว่าที่เป็นไม่ได้ และอย่าให้ใครมากำหนดว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ แม้มันจะต้องใช้เวลามากหน่อย แต่หากเรามุ่งมั่นและเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง มันก็ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงบ้างไม่มากก็น้อย”
ถ้าเป็นแง่คิดที่ลึกขึ้นอีกก็อย่างเช่นเรื่องความซับซ้อนของสังคม ยกตัวอย่างเช่นจูดี้ก็เหมือนเด็กอีกมากมายที่ถูกสอนค่านิยมมาว่า ทำดีได้ดี, ความลับไม่มีในโลก, การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี, สิ่งใดถูกปกปิดก็ต้องเปิดเผยให้ทุกคนได้ทราบ, ประชาชนมีสิทธิ์รู้ทุกอย่าง ฯลฯ
แต่ในความจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นครับ เหมือนตอนที่ เจ ใน Men In Black ถาม เคว่าทำไมไม่เปิดเผยเรื่องมนุษย์ต่างดาวให้ทุกคนรู้ “คนเราไม่โง่หรอกนะ” นั่นคือสิ่งที่เจคิด แต่เคก็บอกว่า “บางคนอาจไม่โง่ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะรับได้”
อย่างสิ่งที่จูดี้เจอก็บอกเราแบบนั้นครับ เธอทำถูกตามสิ่งที่เธอได้รับการพร่ำสอนมา แต่มันก็นำมาซึ่งความวุ่นวายโกลาหล ทุกสิ่งย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ และเพราะด้วยความหลากหลายของผู้คนนี่แหละที่มีส่วนสำคัญในการทำให้สังคมสามารถอยู่อย่างสงบ+คุยกันได้ หรือทำให้สังคมแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย+คุยกันไม่เข้าใจ
ประเด็นเหล่านี้อาจยากที่เด็กจะเข้าใจได้ในทันที แต่บางทีการสอนเรื่องนี้ให้พวกเขาพอจะรู้จักบ้าง ก็อาจเป็นเรื่องที่ควรลองพิจารณาทำดู (เพราะทุกวันนี้แนวโน้มคนเราดูจะตีกันง่าย แต่เข้าใจกันยาก ยังไงก็ไม่รู้ครับ)
สรุปว่าหนังทำออกมาสนุกครับ ดูเพลิน ได้อะไรติดหัวกลับไปคิด เป็นอีกหนึ่งหนังการ์ตูนที่ไม่ควรพลาดครับ
สามดาวครับ
(8/10)