No One Will Save You เล่าเรื่องราวของ ไบรน์ อดัมส์ หญิงสาวคนหนึ่งที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษในบ้านที่เธอรู้จักมาตั้งแต่เด็ก แต่สถานการณ์ของเธอเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน เมื่อต้องเผชิญกับการบุกรุกบ้านของผู้มาเยี่ยมที่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่ามันคืออะไร สิ่งที่ฉันรู้ก็คือมันแปลก และไม่อาจรู้จุดประสงค์ของการมาของมันได้
นี่คือผลงานล่าสุดของ “ไบรอัน ดัฟฟิลด์” ผู้สร้างหนังดาวรุ่งอีกคนที่น่าจับตามองในยุคนี้ นี่ถือเป็นความพยายามกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งที่สองในอาชีพของเขา หลังจากเปิดตัวในภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่อง Spontaneous before Covid-19 ครั้งนี้เขายังรับหน้าที่กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
ไบรอัน ดัฟฟิลด์ เคยเป็นนักเขียนบทหนังมาก่อน เขาเคยเขียนโครงเรื่องให้กับหนังดัง ๆ อย่าง The Babysitter, Divergent: Insurgent และล่าสุดกับ Love and Monsters ที่ดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาค่อนข้างช่ำชองกับงานเขียนหนังสยองขวัญ-ระทึกขวัญเป็นทุนเดิมอยู่ไม่น้อย แต่ครั้งนี้กลับมาในแนวสยองขวัญเช่นเคย แต่เพิ่มเติมด้วยความเป็นไซไฟลี้ลับ ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังเข้ามือเขาได้เป็นอย่างดี
การเล่าเรื่องของ No One Will Save You ถือว่าวับไวกำลังดี เปิดเรื่องมาก็แทบจะไม่ต้องเสียเวลาปูเรื่องอะไรทั้งนั้น เริ่มมายังไม่ถึงสิบนาทีก็(กระตุกขวัญ)รู้เรื่องเลย กลิ่นอายของหนังก็อาจจะคล้าย ๆ กับเอาตัวรอดท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แบบ A Quiet Place หรือ Nope ที่พาคนดูเกาะติดชีวิตของตัวละครหลักไปเรื่อย ๆ เก็บข้อมูลและรายละเอียดแบบรู้เท่ากัน นับว่าเป็นกิมมิกในการเล่าเรื่องที่ชวนคนดูติดตามได้เป็นอย่างดี
No One Will Save You แทบไม่เสียเวลาเลย รูปแบบการเล่าเรื่องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และอารมณ์ของตัวละครถือว่าทำได้ดี การสร้างบรรยากาศในหนังก็ทำได้ดีเช่นกัน เป็นสิ่งที่เชิญชวนให้ผู้ชมจับตาดูสถานการณ์และติดตามสถานการณ์ต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นของสูตรสำเร็จผสมอยู่ก็ตาม แต่สูตรนี้ได้ผลค่อนข้างดีกับความเร้าใจที่หนังเพิ่มเข้ามา
สิ่งหนึ่งที่ชอบในหนัง No One Will Save You ก็คงจะเป็นการใส่เต็มและจัดเต็มของหนัง หนังไม่มีการประนีประนอมอ้อมค้อมใด ๆ เพราะเหมือนพวกเขาทำการบ้านมาดีว่าคนดูอยากเห็นอะไรและดูอะไร สิ่งที่คุณอยากเห็นก็น่าจะได้เห็น ขณะที่องค์ประกอบศิลป์และองค์ประกอบภาพของหนังก็สร้างบรรยากาศออกมาชวนสยองดี แม้จะต้องเพ่งจออยู่บ้างเล็กน้อย เพราะบางฉากมันก็มืดไปสักหน่อย แต่ยังมีเพลงประกอบของ “โจเซฟ ทราปาเนเซ” มาช่วยบิวท์อารมณ์ได้ค่อนข้างดีตลอดทั้งเรื่อง
“เคทลิน เดเวอร์” ถือเป็นการแบกหนังทั้งเรื่องไว้บนร่างเล็กๆ ของเธอ ถือเป็นหนังที่เธอต้องเล่นและแสดงด้วยตัวเองเกือบทั้งเรื่อง บทสนทนาและแนวการสื่อสารกับตัวละครอื่นแทบจะนับคำได้ ดังนั้นภาษากายของเธอจึงเป็นสิ่งที่โดดเด่น ภายใต้ความซับซ้อนของตัวละครตัวนี้ ถือว่าการออกแบบมีหลายมิติให้ผู้ชมได้รับชมและตอบ
นี่คงเป็นอีกผลงานหนึ่งที่อาจเป็นผลงานชิ้นเอกของ Catlin เพราะทุกองค์ประกอบเปิดโอกาสให้เธอได้ปลดปล่อยพลังการแสดงของเธอ ถึงแม้มันอาจจะเป็นแนวทริลเลอร์ แต่ก็มีมุมดราม่าที่เธอได้มีโอกาสแสดงศักยภาพการแสดงอย่างเต็มที่ ต้องบอกว่า...เหมือนหนังเรื่องนี้เกิดมาเพื่อเธอจริงๆ
No One Will Save You ถือเป็นภาพยนตร์ที่มีจังหวะการเล่าเรื่องที่โดดเด่นและยังมีลูกเล่นที่เล่นกับผู้ชมเกินความคาดหมายอีกด้วย สิ่งที่คนดูคิดว่าอาจเป็นจริง สุดท้ายก็ไม่เป็นเช่นนั้น ถือเป็นหนังที่ให้ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย ทำเอาถึงที่สุด ระทึกที่สุด น่ากลัวที่สุด และพระเอกแทบหายใจไม่ออก
ดังนั้นโดยสรุปแล้ว No One Will Save You ถือว่าเป็นหนังไซไฟเขย่าขวัญที่ตอบโจทย์ในสิ่งที่คนดูอยากจะดู ตลอด 90 นาทีของหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยอะไรที่คาดไม่ถึง อาการจะคล้ายๆกับการเล่นเกมที่เล่นหมากตามตัวละครที่เล่น โดยที่ผู้เล่นไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้า สิ่งที่ฉันรู้ก็คือว่ามันขาด ๆ หาย ๆ และคาดเดาไม่ได้ และนั่นก็กลายเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ที่อย่างน้อยทีมผู้สร้างก็ทำมาถึงจุดที่น่าพอใจได้ แม้จะน่าเสียดาย…อะไรแบบนี้ควรจะได้สัมผัสในโรงภาพยนตร์จริงๆ
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง: No One Will Save You
- ประเภท: ไซไฟ / ระทึกขวัญ
- ผู้กำกับ: ไบรอัน ดัฟฟิลด์
- นำแสดงโดย: แคทลิน เดเวอร์
- ความยาว: 93 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 22 กันยายน 2023 (ที่ Disney+ Hotstar)