เกมการแข่งขัน ระหว่าง ทัพอัซซูร์รี่ ทีมชาติ อิตาลี กับ ทัพมังกรแดง ทีมชาติ เวลส์ ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 รอบแบ่งกลุ่ม นัดสุดท้ายของ กลุ่ม เอ โดยเล่นกันที่สนาม สตาดิโอ โอลิมปิโก้, กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
เกมนี้ เจ้าภาพร่วม ทีมชาติ อิตาลี ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ โรแบร์โต้ มันชินี่ ในระบบ 4-3-3 นำทีมโดย เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ปราการหลังพันธุ์แกร่งจากยูเวนตุส จอร์จินโญ่ กองกลางตัวคุมจังหวะเกมจากเชลซี และ เฟเดริโก้ เบร์นาร์เดสคี่ กองหน้ากึ่งปีกตัวจี๊ดจากยูเวนตุส
ขณะที่ทางฝั่ง ทีมชาติ เวลส์ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ โรเบิร์ต เพจ มาเล่นในระบบ 3-4-3 นำทีมโดย แอรอน แรมซี่ย์ กองกลางห้องเครื่องจากยูเวนตุส แดเนี่ยล เจมส์ ปีกความเร็วสูงจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แกเร็ธ เบล ดาวยิงตัวความหวังของทีมจากเรอัล มาดริด
นาที 10
ช่วงต้นเกม ทั้งสองทีม ยังคุมเชิงกันอยู่ ยังไม่กล้าเปิดเกมรุกแลกกันมากนัก เป็นทางทีมชาติ อิตาลี ที่ครองบอลได้มากกว่า คุมจังหวะเกม ต่อบอลกันไปมา แบบไม่รีบร้อนอะไร ขณะที่ทางทีมชาติ เวลส์ คุมโซนกันแน่น คอยเพรสซิ่งเร็วบีบเกมเร็ว เริ่มตั้งแต่ที่กลางสนาม ยังไม่มีโอกาสเข้าไปจบสกอร์ในพื้นที่สุดท้ายกันเลย
นาที 15
เจ้าถิ่น อิตาลี ได้ทักทายก่อน เป็นจังหวะ ครองบอลจ่ายกันไปมาที่หน้าเขตโทษของเวลส์ เอเมอร์สัน ดันสูงขึ้นมารับบอล ขอลองส่องไกลด้วยขวาเน้น ๆ นอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งแรงกระดอนพื้น แต่ไม่หนีมือเท่าไหร่ แดนนี่ วอร์ด ผู้รักษาประตูเวลส์ เขยิบมารับไว้ได้สบาย
นาที 17
เจ้าถิ่น อิตาลี เริ่มจุดไฟเกมรุก บุกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จังหวะนี้ โยนบอลยาวเข้าไปในเขตโทษแล้วโดนแนวรับทีมเยือน โหม่งเคลียร์ลอยออกมาที่หน้ากรอบเขตโทษด้านขวาเข้าทาง มัตเตโอ เปสซิน่า ได้วอลเลย์ด้วยขวา พุ่งสวนเข้าไปในเขตโทษไปแฉลบ เฟเดริโก้ เบร์นาร์เดสคี่ เปลี่ยนทางไปตรงตัว แดนนี่ วอร์ด ผู้รักษาประตูเวลส์ รับเข้าซองไว้ได้สบาย
นาที 20
เกมส่วนใหญ่เป็นของทีมชาติ อิตาลี อย่างเห็นได้ชัด เป็นฝ่ายครองบอลเดินเกมรุก บุกเข้าใส่ฝั่งเวลส์ อยู่แทบจะฝั่งเดียว แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าไปลุ้นจบสกอร์สวย ๆ ในพื้นที่สุดท้ายได้เลย ด้วยกันทั้งคู่
นาที 24
อิตาลี มีโอกาสได้ลุ้นประตูขึ้นนำ จากจังหวะที่ โจ มอร์เรลล์ จ่ายบอลพลาดโดน เฟเดริโก้ เบร์นาร์เดสคี่ ฉกได้ แล้วไหลบอลออกไปทางขวาให้ เฟเดริโก้ เคียซ่า ได้จ่ายตัดเข้ากลางให้ อันเดรีย เบล็อตติ ได้สอดมาชาร์จจ่อ ๆ แต่เข้าถึงบอลช้าไปนิดเดียว บอลผ่านหน้าปากประตู หลุดเสาไกลออกหลังไป อย่างน่าเสียดาย
นาที 27
เวลส์ เกือบได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะได้ลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย แดเนี่ยล เจมส์ เปิดบอลโด่งโค้งสวยมาที่หน้าเสาแรก แล้วเป็น คริส กันเตอร์ โฉบมาโหม่งสะบัดบอลเน้น ๆ ระยะไม่กี่หลา หลุดสามเหลี่ยม ข้ามคานออกไปนิดเดียว
นาที 29
เจ้าถิ่น อิตาลี บุกมาได้ลุ้นเหมือนกัน จังหวะนี้ อเลสซานโดร บาสโตนี่ หลุดขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนจะครอสบอลโด่งลึกไปที่เสาไกลให้ เฟเดริโก้ เคียซ่า ได้สอดขึ้นมา พักเอาบอลลง แล้วฮาบ์ฟวอลเล่ย์ด้วยขวา ยัดมุมแคบไปที่เสาใกล้ทันที แต่บอลถูกกองหลังเวลส์ ตามมาขวางบอลไว้ได้ทัน เปลี่ยนทางออกหลังไป ได้แค่เตะมุม
นาที 39 GOAL!!!
อิตาลี ได้ประตูขึ้นนำเป็น 1-0 !!! เป็นจังหวะ ได้ฟรีคิกทางกราบขวา มาร์โก แวร์รัตติ บรรจงเปิดบอลโค้งไปที่หน้าประตู แล้วเป็น มัตเตโอ เปสซิน่า โฉบปาดหน้ากองหลังเวลส์ มาสะกิดบอลเปลี่ยนทางที่เสาแรก กระดอนพื้นหนีมือ แดนนี่ วอร์ด ผู้รักษาประตูเวลส์ เสียบเสาไกลซ้ายมือ เข้าประตูไป ซุกก้นตาข่าย ไปอย่างเฉียบคม
นาที 42
อิตาลี ยังขึงเกมรุกอยู่ที่หน้าเขตโทษของทีมเยือน จังหวะนี้ มาร์โก แวร์รัตติ ได้บอลตรงกึ่งกลางสนาม มีเวลาได้เงยหน้ามอง แล้ววางบอลยาวข้ามแนวรับอย่างสวยไปยังพื้นที่ว่างหน้าประตู ให้ มัตเตโอ เปสซิน่า ที่วิ่งสอดขึ้นไปอย่างรู้ใจ พุ่งเหยียดขาเข้าชาร์จบอล แต่ไม่ทันช้าไปนิดเดียว แบบได้ลุ้นเหมือนกัน
หมดเวลาครึ่งแรก เป็นทีมชาติ อิตาลี ที่เป็นฝ่ายครองบอลได้เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด คุมสถานการณ์ของเกม เปิดเกมรุกบุกใส่ทีมชาติ เวลส์ อยู่แทบจะฝั่งเดียว สุดท้าย ยิงประตูขึ้นนำไปก่อนแล้ว 1-0 !!!
นาที 46
เจ้าถิ่น อิตาลี ที่ผ่านเข้ารอบแน่นอนแล้ว เริ่มถอดผู้เล่นออกไปพัก โดยคนที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือมาดเท่ เลือกถอดออกก็คือ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ออกไปพัก แล้วส่ง ฟรานเชสโก้ อแซร์บี้ ลงมาคุมแนวรับแทน
นาที 53
อิตาลี เกือบได้ประตูหนีห่าง เป็นจังหวะ ได้ฟรีคิกระยะอันตราย หน้ากรอบเขตโทษตรงกลาง ระยะประมาณ 25 หลา แล้วจัดการโชว์ลูกสูตร วิ่งข้ามบอลอยู่หลายตลบ ก่อนจะเป็น เฟเดริโก้ เบร์นาร์เดสคี่ ที่เป็นคน วิ่งมาซัดเลียดแหวกกำแพง ไปชนโคนเสาซ้ายมือเต็ม ๆ กระเด้งออกมา อย่างน่าเสียดายสุด ๆ
นาที 54
ทีมเยือน เวลส์ ได้ลุ้นเล็ก ๆ เมื่อ ฟรานเชสโก้ อแซร์บี้ กองหลังตัวสำรองที่เพิ่งลงมา กะจังหวะบอลพลาดปล่อยให้ แอรอน แรมซี่ย์ ได้หลุดเดี่ยวจากลูกโยนยาว ทะลุเข้าไปลุ้นทำประตูในเขตโทษ แต่จังหวะสุดท้ายบอลดันพันแข้งพันขา เจ้าตัวพยายามจะล็อคหนี จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูอิตาลี แต่ไม่พ้น โดนคว้าไว้ได้ทันเฉียดฉิว
นาที 55 ใบแดง!!!
สถานการณ์ของทีมเยือน ทีมชาติ เวลส์ ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก เมื่อต้ิงมาเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 คน หลังจากที่ อีธาน อัมปาดู ไปย่ำใส่เท้าของเฟเดริโก้ เบร์นาร์เดสคี่ ผู้ตัดสินไม่รอช้า วิ่งมาควักใบแดงโดยตรง ไล่เจ้าตัวให้ออกจากสนามไปเลยทันที
นาที 65
อิตาลี เกือบได้ประตูหนีห่าง เป็นจังหวะเริ่มที่ มัตเตโอ เปสซิน่า แทงบอลขนาดเส้นขึ้นหน้ามาให้ เฟเดริโก้ เคียซ่า ได้ใช้ความเร็วโฉบบอลตัดหน้าแนวรับเวลส์ แล้วได้กระชากขึ้นมาเปิดบอลที่สุดเส้นหลังฝั่งขวาให้ อันเดรีย เบล็อตติ ได้โฉบมายิงทิ้งตัวซัด ยัดไปที่เสาแรก แต่ แดนนี่ วอร์ด ผู้รักษาประตูเวลส์ ยังยืนตำแหน่งได้ดี ทิ้งตัวบล็อกลูกยิงเอาไว้ได้ทันเฉียดฉิว
นาที 70
อิตาลี ยังคงโหมบุกอย่างหนัก ครองบอลแบบไม่รีบค่อย ๆ นวดไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ เวลส์ ที่มีผู้เล่นน้อยกว่า ไม่สามารถทำอะไรได้เลย กองตำราเกมรับ ช่วยกันตั้งโซนยื้อสกอร์นี้เอาไว้ให้ได้ท่าเดียว
นาที 75
เวลส์ เกือบได้ประตูตีเสมอเหมือนกัน เป็นจังหวะ โจ โรดอน สวนกลับขึ้นมาทางกราบซ้าย ก่อนจะครอสบอลโด่งเข้าไปที่กลางประตูให้ แกเร็ธ เบล ที่ยืนโล่ง ๆ ได้เอี้ยวตัววอลเลย์ด้วยซ้ายเน้น ๆ เหินเฉียดคานออกไปนิดเดียว แบบน่าเสียดายสุด ๆ
นาที 90
ช่วงท้ายเกม อิตาลี สาดบอลเข้าใส่แนวรับทีมเยือนอย่างหนัก แต่กองหลังและผู้รักษาประตูเวลส์ ยังช่วยกันเซฟทีมเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยถ้าจบด้วยสกอร์นี้ พวกเข้าจะมีแต้มเท่ากับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ประตูได้เสียจะดีกว่า สุดท้ายยันได้สำเร็จ จบเกมที่สกอร์ 1-0 !!! ได้ที่สองของกลุ่ม ตามเป้า
หมดเวลาการแข่งขัน เจ้าถิ่น ทีมชาติ อิตาลี เปิดบ้านเฉือนชนะทีมเยือน ทีมชาติ เวลส์ ไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 !!! คว้าแชมป์กลุ่มเอ เข้ารอบเรียบร้อยตั้งแต่นัดที่แล้ว ส่วนทางทีมชาติ เวลส์ คว้าอันดับที่ 2 ของกลุ่ม ตามเข้ารอบไปด้วยเช่นกัน