เจมส์ แมดดิสัน บอกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เก็บคลีนชีตได้ในเกมนี้และยังดีใจที่มี ยูรี ทีเลอมองส์ กลับมาหลังควงกันพาทีมชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-0
ก่อนหน้าจะลงสนามพบกับ นิวคาสเซิ่ล นั้น เลสเตอร์ มีปัญหาเรื่องการรักษาคลีนชีต หลังพวกเขาเสียประตูตลอด 14 เกมลีกที่ผ่านมา
กระนั้นนัดนี้ เลสเตอร์ เริ่มต้นดี แมดดิสัน ทำให้ทีมได้จุดโทษและ ทีเลอมองส์ เป็นคนยิงให้ทีมออกนำ จากนั้นก็เป็น พัทสัน ดาก้า ที่บวกเพิ่มไปอีกลูก
ท้ายเกม “จิ้งจอก” มาบวกเพิ่มอีกสองลูกด้วยประตูจาก ทีเลอมองส์ ยิงเพิ่มและ แมดดิสัน เป็นคนปิดท้าย
พวกเขาเกือบจะอดคลีนชีตด้วยเมื่อจังหวะคืนหลังของ ทิโมธี คาสตานเญ่ หวิดเข้าประตูตัวเองแต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ยังตามเคลียร์ทัน
เพลย์เมกเกอร์ชาวอังกฤษบอกว่ารู้สึกดีที่ เลสเตอร์ หาคลีนชีตเจอสักทีและเป็นเรื่องเยี่ยมที่นักเตะแบบ ทีเลอมองส์ กลับมาช่วยทีมอีกครั้ง
“เวลาคุณไปเล่นเกมยุโรปก็จะต้องเจอกับทีมที่มีเวลาเตรียมทีมทั้งสัปดาห์ เราเดินทางกลับมาเมื่อคืนวันพฤหัสบดี, ได้หลับตอนตี 4 จากนั้นก็กลับมาลงสนามอีกครั้ง เลยเป็นเรื่องยากที่จะสลัดความเหนื่อยล้ากลับมานะ, โดยเฉพาะทีมที่เจอปัญหาโควิด” แมดดิสัน กล่าว
“เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนั้น เป็นเรื่องน่าพอใจสุดๆที่หลังแอสซิสต์ได้, ยิงได้และเรียกจุดโทษแล้วยังเก็บคลีนชีตได้ด้วย เราพูดถึงเรื่องนั้นกันบ่อยมาก การที่มองสกอร์บอร์ดตอนจบเก็บและเห็นเลข 0 อยู่ข้างๆชื่อทีมตรงข้ามเป็นความรู้สึกที่ดี”
“ผมโดนทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ บอกตามตรงผมอยากยิงนะแต่ ยูรี กลับมาแล้วและเขายิงจุดโทษเก่ง เขาเป็นนักเตะระดับท็อปและเป็นแข้งทีมชาติเบลเยี่ยม เราคิดถึงเขามาก เขาเป็นนักเตะระดับท็อปและเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้เขากลับมา เขาช่วยนักเตะแบบผมในการปั้นเกมรุกในพื้นที่สุดท้าย”
“เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม, เป็นคนที่มุ่งมั่นกับการวิ่ง, นอบน้อมมากและไม่เห็นแก่ตัว คุณบอกได้เลยว่าเขานอบน้อมและมีความสุขขนาดไหน เขากับ วาร์ดี้ เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย ทั้งสองคนเป็นตัวจบสกอร์โดยธรรมชาติจึงเป็นเรื่องเยี่ยมที่มีพวกเขาในทีม”
“ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่า แคสเปอร์ จะหัวเสียในห้องแต่งตัวขนาดไหนถ้าหากเพื่อนร่วมทีมของเขาเป็นคนทำให้พลาดคลีนชีต!”
“ปัญหาคือเรื่องความสม่ำเสมอ อยู่ๆเราก็มีฟอร์มที่ดี, เก็บสามแต้มและกลับไปลุ้นท็อปซิกซ์อีกรอบ แต่พรีเมียร์ลีกเป็นเรื่องของความสม่ำเสมอ คุณอาจคว้าชัยชนะสองเกมติดและไต่อันดับกลับไปได้ เราไม่ได้ไร้เดียงสา, แต่เป็นเรื่องของการเชื่อมั่นที่จะก้าวต่อไป”