เกมการแข่งขัน ระหว่าง ทัพปีศาจแดงดำแห่งยุโรป ทีมชาติ เบลเยี่ยม กับทีมชาติ ฟินแลนด์ ในศึกฟุตบอลชิงแชม์แห่งชาติยุโรป หรือ ฟุตบอลยูโร 2020 รอบแบ่งกลุ่ม นัดสุดท้ายของ กลุ่ม บี โดยเล่นกันที่สนาม เครสตอฟสกี้ สเตเดี้ยม, เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย (สนามกลาง) ในค่ำคืนวันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
เกมนี้ ทีมชาติ เบลเยี่ยม ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ มาเล่นในระบบ 3-4-2-1 นำทีมโดย เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางเพลย์เมกเกอร์จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอแด็น อาซาร์ ปีกตัวจี๊ดจากเรอัล มาดริด และ โรเมลู ลูกากู กองหน้าตัวความหวังของทีมจากอินเตอร์ มิลาน
ขณะที่ทางฝั่ง ทีมชาติ ฟินแลนด์ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ มาร์กคู คาร์เนร์ว่า มาเล่นในระบบ 3-5-2 นำทีมโดย เกล็น กามาร่า มิดฟิลด์ห้องเครื่องจากกลาสโกว์ เรนเจอร์ เยเร่ ยูโรเน่น ปีกตัวจี๊ดจากเกงค์ และ ตีมู ปุ๊กกี้ ดาวยิงตัวเก่งของทีมจากนอริช ซิตี้
นาที 10
ช่วงต้นเกม ทั้งสองทีมยังไม่เปิดเกมแลกกันมากนัก รูปเกมค่อนข้างน่าอึดอัดอยู่พอสมควร ยังไม่มีโอกาสเข้าทำกันแบบสวย ๆ เลย จะมีก็แต่จังหวะได้ลุ้นเล็ก ๆ ของทีมชาติ ฟินแลนด์ เมื่อ ตีมู ปุ๊กกี้ ได้สอดขึ้นไปรับบอลในเขตโทษ แล้วกำลังจะได้ง้างเท้ายิง แต่ เควิน เดอ บรอยน์ ขยันวิ่งตามลงมาจิ้มสกัดบอล ช่วยทีมเอาไว้ได้ทัน
นาที 16
ทีมชาติ เบลเยี่ยม เริ่มเครื่องร้อน และมีโอกาสได้ลลุ้นประตูทันที จังหวะนี้ เป็นความเหนือชั้นของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่จ่ายทะลุช่องคิลเลอร์พาสให้ โรเมลู ลูกากู ได้หลุดเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะซัดด้วยซ้ายเน้น ๆ ผ่านหน้าปากประตู ถากเสาไกลขวามือ ออกหลังไปนิดเดียว ทว่าไลน์แมน ยกธงว่าเป็นลูกล้ำหน้าซะก่อน ถ้าเข้าก็ไม่ได้ประตูอยู่ดี
นาที 22
เบลเยี่ยม เริ่มบุกใส่ฟินแลนด์อย่างต่อเนื่อง จังหวะนี้ เริ่มที่ เควิน เดอ บรอยน์ เจ้าเก่า ได้โชว์ความพลิ้ว พาบอลแหวกผู้เล่นฟินแลนด์เข้าเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะปาดเลียดมาที่หน้าประตู ไปแฉลบ เปาลุส อรายูรี่ เปลี่ยนทางไปติดตัวของ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ ผู้เล่นทีมตัวเองพอดี ก่อนจะรีบเคลียร์กันออกมา เกือบเข้าประตูตัวเองแล้ว
นาที 23
จากจังหวะต่อเนื่อง อักเซล วิตเซิ่ล เก็บตกบอลแถวสองได้ที่หน้ากรอบเขตโทษ ก่อนจะขอลองตั้งป้อมบรรจงวางเท้าซัดด้วยขวาเต็ม ๆ บอลพุ่งแรงกระดอนพื้น แต่ดันไปตรงตัวของ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ รับเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น
นาที 25
เกมผ่านมาครึ่งทางของครึ่งแรก ทีมชาติเบลเยียม ครองบอลได้เยอะกว่าอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้เร่งเกมรุกอะไรมาก โอกาสยิงลุ้นประตู ยังมีให้เห็นน้อยมาก ขณะที่ทางฝั่งทีมชาติ ฟินแลนด์ ยังขยันวิ่งไล่บอล คุมโซนช่วยแนวรับกันไว้ได้เป็นอย่างดี ถึงตอนนี้ยังถือว่า ยันแนวรุกของทีมเบอร์ 1 ของโลก ไว้ได้สบาย
นาที 32
เบลเยี่ยม บุกขึ้นมาทางกราบขวา เฌเรมี โดกูว์ หลุดขึ้นมาแล้วเลี้ยงจี้เข้าเขตโทษ ก่อนจะเห็นช่องแล้วตบเข้าใน แล้วเป็น ยูน่า ทอยวิโอ กองหลังฟินแลนด์ สกัดไม่ดี กลายเป็นไหลออกมาที่หัวกระโหลกตั้งให้ อักเซล วิตเซิ่ล ได้สอดมาซัดด้วยขวา พุ่งแรงเหินข้ามคานออกไปอีกครั้งหนึ่ง
นาที 35
เบลเยี่ยม เริ่มขึงเกมรุก บุกกดดันอยู่ที่หน้าเขตโทษของฟินแลนด์อย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเน้นการครองบอลหาช่องเจาะ ถ่ายบอลตามช่องไปมา ป้วนเปี้ยนอยู่หน้าเขตโทษฟินแลนด์ ค่อย ๆ เคาะ ค่อย ๆ นวด ไปทีละนิดไม่รีบเร่งเท่าไหร่
นาที 38
เบลเยี่ยม มีโอกาสได้จบ เป็นจังหวะ เควิน เดอ บรอยน์ ได้บอลบริเวณมุมกรอบเขตโทษด้านขวา ก่อนจะตั้งป้อมบรรจงเปิดบอลโด่งโค้งสวยเข้าไปที่หน้าประตูให้ โรเมลู ลูกากู ได้ขึ้นโขกเน้น ๆ ระยะแค่ 6 หลา แต่น่าเสียดาย บอลไม่มีน้ำหนักแถมตรงตัวของ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ รับไว้ได้สบาย
นาที 42
เบลเยี่ยม ได้มีโอกาสลุ้นขึ้นมาเรื่อย ๆ จังหวะนี้ ตัดบอลได้แล้วเล่นโต้กลับเร็ว เควิน เดอ บรอยน์ แทงบอลขึ้นหน้าไปยังกราบซ้ายให้ โฌเรมี โดกูว์ ได้เลี้ยงจี้เข้าไปในเขตโทษ แล้วโยกหลบกองหลังฟินแลนด์ตัดเข้าใน ก่อนจะปั่นด้วยขวาเน้น ๆ ไปที่เสาไกลขวามือ บอลกำลังจะเสียบเสาอยู่แล้ว แต่ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ โชว์ซุปเปอร์เซฟ พุ่งไปปัดปลายมือไว้ได้เหลือเชื่อ
หมดเวลาครึ่งแรก เป็นทีมชาติ เบลเยี่ยม ที่เป็นฝ่ายครองบอล ปูพรมบุกเข้าใส่ทีมชาติ ฟินแลนด์ อยู่แทบจะฝั่งเดียว แต่ยังไม่สามารถยิงประตูขึ้นนำได้ สกอร์ตอนนี้ เบลเยี่ยม 0 ฟินแลนด์ 0 !!!
นาที 55
เปิดฉากครึ่งหลังมา ทีมชาติ เบลเยี่ยม ก็บุกใส่ทันที จังหวะนี้ นาร์เซอร์ ชาดลี่ กระชากหนีผู้เล่นฟินแลนด์ หลุดขึ้นมาทางกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนจะครอสโด่งไปที่กลางประตูให้ โรเมลู ลูกากู แต่ไม่โดน ข้ามหัวไปนิดเดียว บอลเลยออกมาอีกฝั่ง แล้วเป็น เอแด็น อาซาร์ ที่เก็บได้ ก่อนจะเลี้ยงเข้าเขตโทษ แล้วกระชากตัดเข้าใน ได้ซัดเลียดหักข้อด้วยซ้าย แต่ก็หลุดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 58
เบลเยี่ยม ได้เตะมุมทางฝั่งขวา เล่นลูกสูตร จ่ายสั้นมาให้ นาเซอร์ ชาดลี่ ได้ตั้งป้อมเปิดบอลเลียดยัดเข้าไปในเขตโทษเล่นให้ เอแด็น อาซาร์ สอดมายิงด้วยขวาแบบไม่จับ แต่บอลก็ยังไปตรงตัวของ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ รับไว้ได้สบาย
นาที 62
ฟินแลนด์ ได้ตอบโต้ขึ้นมาบ้าง เป็นจังหวะ ตีมู ปุ๊กกี้ สปีดไปเก็บบอลได้ที่ด้านซ้ายของกรอบเขตโทษ ก่อนจะจ่ายยัดเข้าเขตโทษให้ โยเอล โปห์ยานปาโล่ พยายามยิงแต่โดนขวาง เลยดีดย้อนหลังมาที่หน้าเขตโทษตั้งให้ เกล็น กามาร่า ได้เติมขึ้นมาซัดด้วยขวานอกกรอบเขตโทษ ไปแฉลบแนวรับเบลเยี่ยม กระดอนเข้ามือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ รับสบาย
นาที 63
เบลเยียม เกือบได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะ อักเซล วิตเซิ่ล ครองบอลดึงเกมอยู่บริเวณหน้าเขตโทษ ก่อนจะจ่ายตามช่องเข้าเขตโทษทางซ้ายให้ เอแด็น อาซาร์ โฉบมาแต่งบอล แล้วซัดด้วยซ้ายลอดหว่างขา เปาลุส อรายูรี่ ที่หน้าประตูไม่กี่หลา บอลกำลังจะเข้าอยู่แล้ว แต่ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ ยังโชว์ซุปเปอร์เซฟ ผวาพุ่งไปปัดได้อย่างไว ช่วยเซฟทีมได้ทันหวุดหวิด
นาที 65
เบลเยี่ยม บุกมาเป็นชุด และน่าจะได้ประตูขึ้นนำแบบสุด ๆ เป็นจังหวะ เควิน เดอ บรอยน์ แทงบอลทะลุช่องให้ โรเมลู ลูกากู ได้วิ่งสอดทะลุหลุดเดี่ยวเข้าไปได้ยิงล่อเป้าในเขตโทษ ก่อนจะซัดด้วยซ้ายผ่านตัว ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ เข้าประตูไป แต่ทว่าหลังจากนั้น ผู้ตัดสิน เฟลิกซ์ บรีช ได้รับสัญญาณ VAR แล้วเดินออกไปเช็ด ต้องใช้เวลายืนยันผลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายกลับลงมา เป่าตัดสินให้เป็นลูกล้ำหน้าของ ลูกากู ไปก่อนแล้ว อดได้ประตูอย่างน่าเสียดาย
นาที 74 GOAL!!!
เบลเยี่ยม มาได้ประตูขึ้นนำจนได้ 1-0 !!! เป็นจังหวะ ได้ลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย เควิน เดอ บรอยน์ เปิดบอลโด่ง โค้งเข้าไปในเขตโทษเข้าทาง โธมัส แฟร์มาเล่น ได้โฉบมาโหม่งชนเสา แล้วกระเด้วมาโดนแขนของ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ เข้าประตูตัวเองไป ซุกก้นตาข่าย แบบงง ๆ
นาที 81 GOAL!!!
เบลเยี่ยม มาได้ประตูหนีห่างอย่างรวดเร็วเป็น 2-0 !!! เป็นจังหวะ เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายบอลยัดมาที่ตัวให้ โรเมลู ลูกากู ที่อาศัยความแข็งแกร่ง ได้โชว์ความยอดเยี่ยม ใช้ตัวบังบอลพิงแนวรับของฟินแลนด์ ก่อนจะพลิกหลุดเข้าไปยิงด้วยขวาจ่อ ๆ ผ่านตัว ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ เข้าประตูไป ตุงตาข่าย ไม่เหลือซาก
หมดเวลาการแข่งขัน เป็นทีมชาติ เบลเยี่ยม เอาชนะทีมชาติ ฟินแลนด์ ไปได้ด้วยสกอร์ 2-0 !!! คว้าชัย 3 นัดรวด เก็บ 9 คะแนนเต็ม ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม ส่วนทางด้าน ฟินแลนด์ รั้งอันดับที่ 3 ยังคงได้ลุ้นเข้ารอบในฐานะอันดับ 3 ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดอยู่ แต่ต้องลุ้นกับที่สามของกลุ่มอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน