ก่อนว่าด้วย ยูโร ผมนั่งดูบอลไทยแล้วรู้สึกหดหู่ยังไงชอบกลไม่รู้ หมดสภาพตั้งแต่เสมอ อินโดนิเซีย จนกระทั่งปิดท้ายแพ้ มาเลเซีย ได้รองบ๊วยคัดฟุตบอลโลกซะงั้น
ผมอาจจะไม่ค่อยรู้จักนักเตะทีมชาติในช่วงหลังเยอะเท่าไหร่นับตั้งแต่พักยาวช่วงโควิดเป็นต้นมาแต่ยิ่งเชียร์ยิ่งเหนื่อยแฮะ อารมณ์แบบลุ้นไม่ขึ้น คุณภาพไม่ไหวจริงๆ
บอลมีโอกาสยิงเขาเยอะแยะแต่เลอะเทอะอ่อนแอในกรอบเขตโทษสุดๆ สไตล์การเล่นดูโบราณ เห็นแต่จ่ายขนานเส้นข้างแทบตลอด การเล่นลักษณะนี้มันยุค ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ชัดๆ
ความสามารถเฉพาะตัว ดวลตัวตัวสู้ไม่ได้เลย จ่ายบอลธรรมดายังไม่ตรงแล้วจะไปทำอะไรต่อได้ละครับ แถมครึ่งหลังอยู่ดีๆไปเสียรู้ผลักเขาเบาๆโดนจุดโทษโง่ๆอีก
ผมไม่รู้ว่าสมาคมฟุตบอลจะเอายังไงกับ อากิระ นิชิโนะ โค้ชชาว ญี่ปุ่น วัย 66 ปีหลังเพิ่งต่อสัญญา 2 ปีเมื่อต้นปีที่แล้วก็เท่ากับว่ายังเหลืออีกปี
แต่การที่แกมาคนเดียวไม่มีสต๊าฟ การสื่อสารผ่านล่ามทำให้รายละเอียดเชิงลึกกับผู้เล่นผมมีความรู้สึกว่ามันไม่เข้าเนื้อ ภาษาฟุตบอลมันมาไม่ถึง
การขนนักเตะมาเยอะถึง 40 คนแสดงว่าแกไม่รู้จักนักเตะไทยมากพอ(และก็ใช้หน้าเดิมๆ) นักเตะตัวจริงบางคนผมยังตกใจทำไมเล่นได้แค่นี้เหรอ นี่เจอกับทีมอาเซียนนะเฮ้ย
สมาคมต้องมีตติ้งเพื่อวางแผนเรียกศรัทธาทีมชาติกลับคืนให้แฟนบอลโดยด่วนครับเพราะตอนนี้ เวียดนาม ทิ้งห่างเราไปหลายก้าวแล้ว
ในระหว่างที่สลับดูไปมากับ ยูโร กลายเป็น โปรตุเกส ที่เกือบถูก ฮังการี แบ่งแต้มแต่ยันอยู่แค่ 84 นาทีทำนบแตกจากลูกแฉลบ
เรียกว่าบทจะได้ก็ง่ายแสนง่ายทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะครึ่งแรกครึ่งหลังมีโอกาสเป็นสิบๆโดยเฉพาะ ดิโอโก้ โชต้า ของ ลิเวอร์พูล ที่น่าจะมีสกอร์ไปนานแล้ว
พอลูกแรกมาก็ไหลอีก 2 ภายใน 8 นาทีและเป็นการเหมาเน้นๆคนเดียวของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ทำให้แข้งวัย 36 ปีสร้างสถิติใหม่เป็นดาวซัลโวตลอดกาลในทัวร์นาเมนท์ยูโร (รอบสุดท้าย) ด้วยการยิง 11 ประตู
อีกทั้งยังเป็นนักเตะคนแรกที่เล่น ยูโร 5 สมัยติดต่อกันและยิงได้ทุกรอบด้วยและยังขออีก 4 ลูกจะแซง อาลี ดาอี (109) ของ อิหร่าน เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในระดับทีมชาติอีกด้วย (106)
ถือว่าเป็นชัยชนะที่มาช้าดีกว่าไม่มาและสุ่มเสี่ยง “งานหยาบ” เพราะกลุ่มนี้ใครพลาดปล่อยให้ ฮังการี มีแต้มก็ไม่ต่างจากธรณีสูบเพราะกลุ่ม F มัน group of death
ยังดีครับที่ ยูโร หนนี้เพิ่มเป็น 24 ทีมทำให้อันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 4 ทีมจะได้เข้ารอบไปด้วย (ดูแล้วทำให้ความสนุกลดน้อยลง เตะกันแทบตายแต่เอาที่ 3 เกือบทุกกลุ่มเฮโลเข้ารอบ ขาดไปแค่ 2 )
ในขณะที่คู่บิ๊กแมทช์ที่สุดในรายการนี้จบลงที่ชัยชนะของ ฝรั่งเศส เหนือ เยอรมัน 1-0 ถึง อัลลิอันซ์ อารีน่า (หรือพูดง่ายๆคือคาบ้าน) โดยประตูเดียวของเกมนี้เป็น OG. ของ มัตส์ ฮุมเมิลส์
ว่ากันตามเนื้อผ้า “ตราไก่” ภาษีดีกว่าตรงที่มีอาวุธน่ากลัวหวังผลได้ชัดแจ้งกว่าตรง speed ball ซึ่งมีผู้เล่นเร็วและคล่องกว่า
ส่วน “อินทรีเหล็ก” ให้ โทนี่ โครส เป็นศูนย์กลางมากจนเกินไป ไม่ว่าใครจะได้บอลต้องมองหาแข้ง เรอัล มาดริด ผู้นี้อยู่เกือบตลอดเวลา
ซึ่ง class บอลแก ไม่มีใครเถียงว่าเป็นตัวเปลี่ยนจังหวะเกมและวางบอลยาวแม่นแต่มันทำให้การขึ้นเกมช้าผิดธรรมชาติในหลายๆหน เป็นการขึ้นบอลที่ถูกเหมือนถูกใส่โปรแกรม เดาออกว่าบอลจะไปลงเอยที่จุดไหน
ยิ่งออกบอลช้าขึ้นเกมช้าก็เท่ากับไปช่วยให้งานของแข้ง “ตราไก่” จากที่ง่ายอยู่แล้วง่ายมากกว่าเดิม
ตัวสำรองของ โยอาคิม เลิฟ ก็ต้องบอกด้วยว่าไม่ได้ทำให้เกมดีขึ้นแต่อย่างใดไม่ว่า เลรอย ซานี่ หรือตัวฮาอย่าง ติโม แวร์เนอร์
ที่แปลกใจมากกว่าคือเกมนี้แนวรุกของ ฝรั่งเศส ยิงประตูไม่ได้นี่แหละครับ เพราะช่วงที่ เยอรมัน เปิดแลกเราจะเห็น เอ็มบาปเป้ ฉายแสงมีซีนเยอะมาก
โดยเฉพาะช็อตวิ่งแซง ฮุมเมิลส์ ยังตราตรึง รวมไปถึงการหลุดกระชากลากเลื้อยจวนเจียนได้ลูก 2 แต่สุดท้ายก็ไม่มา
เกมรุกของ “ตราไก่” นอกจากมี “น้องเป้” ริมเส้นแล้ว พอล ป็อกบา ก็เป็นอีกคนที่โดดเด่น สร้างสรรค์เกมได้ดีกว่าตอนเเล่นให้ แมนฯยูไนเต็ด อันนี้อยู่ที่สภาพแวดล้อมเนื่องจากแกมี ก็องเต้ คอยปัดกวาดให้ ทำให้ไม่ต้องพะวงอะไรเยอะ
เสียดายถ้าไม่ติดว่าไปยึกยักจ่ายช้า ลูกที่ เอ็มบาปเป้ ถวายพานให้ คาริม เบนเซม่า ยิงประตูแรกให้ทีมชาติในรอบ 5 ปีกว่าคงไม่ล้ำหน้า
อีกเรื่องที่ผมไม่ชอบและเสียอรรถรสมากคือการที่ไลน์แมนปล่อยให้นักเตะเล่นไปจนจบแล้วค่อยยกธงล้ำหน้า
คือมันเสียเวลา ถ้ามันล้ำชัดเจน ไม่มีผู้เล่นข้างเดียวกันยืนซ้ำซ้อนก็ยกๆให้มันจบๆ
ครับ ยูโร เตะครบกันทุกทีมทุกกลุ่มแล้ว เราจะเห็นได้อย่างนึงว่าบอลสั้นๆรอบแบ่งกลุ่มแค่ 3 นัดไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ในนัดเปิดสนาม
ไม่มีใครอยากทิ้งไพ่แล้วอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบหรอกครับ ผลที่ตามมาคือมีเกมชวนหลับค่อนข้างเยอะ
แต่ตอนนี้ทุกทีมรู้ตัวเองแล้วครับว่านัด 2 ต้องการผลแบบไหนควรเล่นยังไง ประตูไหลเยอะกว่านี้แน่นอนครับ…