วาลิด เรกรากุย นายใหญ่ โมร็อกโก ขอบคุณชาวอาหรับจากทุกประเทศที่ให้การสนับสนุน พร้อมเผยว่าวางแผนยอมให้ สเปน เป็นฝ่ายครองบอล โดยรู้อยู่แล้วว่าลูกทีมมีโอกาสดวลจุดโทษชนะ เนื่องจากมีหนึ่งในโกล์ที่ดีที่สุดของโลกอย่าง ยาสซีน โบโน่
คืนวันอังคารที่ผ่านมา เรกรากุย คุม โมร็อกโก ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบ 16 ทีมเสมอ สเปน ในเวลา 120 นาที 0-0 ก่อนจะดวลจุดโทษชนะ 3-0 ได้เข้าไปเจอกับ โปรตุเกส
ผลการแข่งขันนัดนี้ทำให้ โมร็อกโก เป็นชาติอาหรับประเทศแรกที่ได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก และยังเป็นครั้งแรกที่โค้ชชาวแอฟริกัน พาทีมจากทวีปแอฟริกาเข้าถึงรอบดังกล่าวได้สำเร็จ
หลังจบเกม กุนซือชาวโมร็อกโกวัย 47 ปีให้สัมภาษณ์สื่อเปิดเผยความรู้สึก
“ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกทีม, เหล่าแฟนบอล และชาวอาหรับทุกคน วันนี้มีทั้งชาวกาตาร์, ชาวแอลจีเรียน, ชาวตูนิเซีย และชาวแอฟริกัน เข้ามาอยู่ที่นี่”
“เรารู้ว่าเราได้รับการสนับสนุนอย่างมหาศาล และคืนนี้เราก็ใช้พลังงานเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์”
“นับตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนท์นี้ เราต้องลงเล่นด้วยทีมที่ไม่เต็ม 100 เปอร์เซนต์มาตลอด ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผลงานของเราน่าประทับใจขึ้นไปอีก”
เกมที่สนาม เอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดี้ยม ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ มีสถิติครองบอลถึง 76.8 เปอร์เซนต์ แต่ไม่สามารถจบสกอร์ได้
“เราตกลงกันว่าเราจะไม่เป็นฝ่ายครองบอล แต่ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เราถ่อมตัวพอที่จะพูดว่าเรายังไม่ใช่ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อังกฤษ หรือทีมที่จะสามารถวัดกับ สเปน ในแง่ของการครอบครองบอลได้”
“ไม่มีใครสามารถแย่งบอลจากพวกเขาได้ และผมไม่มีเวทมนตร์ ดังนั้นผมต้องยอมรับเรื่องการไม่ได้ครองบอล”
“เราปิดเส้นทางจ่ายบอลของพวกเขาได้หลายครั้งตลอด 120 นาที และเรารู้ว่าเราจะมีโอกาสเหมือนกัน ซึ่งเรามีโอกาส 2,3 หรือ 4 ครั้ง”
“เราไม่สามารถลงโทษพวกเขาได้ แต่แผนของเราคือการให้ความเคารพตั้งแต่แรก เราไปถึงการดวลจุดโทษ แล้วจากนั้นก็เหมือนกับการซื้อล็อตเตอรี่”
“เรามีหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกยืนเฝ้าเสาให้ ดังนั้นเราจึงรู้ว่าเรามีโอกาสได้เข้ารอบ เมื่อถึงการดวลจุดโทษ”