กลับมาสานต่ออีกครั้งกับตำนานหนังแฟรนไชส์วิญญาณ ที่พวกเขาดูเหมือนจะยังหาทางให้มันดำเนินต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ปีนี้มาพร้อมกับ “Insidious: The Red Door วิญญาณตาม ประตูผีทะลุ” ภาคที่ 5 ของภาพยนตร์ชุดนี้ ที่เชื่อมโยงและเชื่อมโยงมาจากภาคก่อนๆ แม้ว่าหลายๆ องค์ประกอบจะถูกปรับเปลี่ยนไป แต่โทนความหลอนยังคงไว้ใจได้เช่นเคย
Insidious: The Red Door เป็นบทสุดท้ายของเรื่องราวอันน่าสยดสยองของครอบครัวแลมเบิร์ต เพื่อยุติเรื่องราวและส่งปีศาจกลับไปที่หลุม จอชและดัลตัน ลูกชายของเขาต้องดำดิ่งลึกเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณมากกว่าที่เคยเป็นมา เพื่อเผชิญหน้ากับอดีตอันดำมืดของครอบครัวและค้นหาความสยดสยองใหม่ที่ซ่อนอยู่หลังประตูผี
ในภาคนี้ได้ "แพทริค วิลสัน" นั่งเก้าอี้ผู้กำกับ พร้อมกับการกลับมาแสดงนำในภาพยนตร์อีกครั้ง ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักแสดงหนุ่มที่อยู่ในวงการมานาน แต่อย่างน้อย เขาก็รู้สึกดีกับแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องนี้ และรู้ว่าควรใส่อะไรและคงไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่ลืมใส่วิสัยทัศน์ผู้สร้างของเขาเข้าไปด้วย
แต่กระนั้นก็กลับน่าเสียดายในหลาย ๆ จุด ที่ Insidious: The Red Door เป็นผลสืบเนื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ดู ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินวนลูปเดิม ๆ ที่ตัวหนังเล่ามาแนวนี้อยู่พักหนึ่ง ในขณะที่การพัฒนาของตัวละครเติบโตขึ้น แต่ฉันรู้สึกโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเท่านั้น แต่ในการสร้างมิติให้กับตัวละครก็ยังล้มเหลวอย่างน่าผิดหวัง
ถ้าใครสงสัยว่ายังไม่เคยดูซีรีส์แนววิญญาณที่ติดตามงานเย็บปะติดปะต่อ หรือไม่เคยดูภาคเดียว แล้วมาเริ่มดูภาคนี้จะเข้าใจหรือไม่? คำตอบคือน่าจะเข้าใจได้ เป็นเพียงว่าคุณอาจยังคงสงสัยเกี่ยวกับปัญหามากมาย เนื่องจากมีส่วนที่เชื่อมโยงกับภาคที่แล้ว โดยเฉพาะภาค 2 ของหนัง ผลที่ได้อาจทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่ชัดเจน โดยไม่ได้มีเบื้องหลังและเบื้องหลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน.
ทางด้านองค์ประกอบงานสร้างใน Insidious: The Red Door ถือว่ายังทำได้ดีตามมาตรฐาน เพราะตัวหนัง ไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรมากมาย เป็นหนังที่ใช้งบลงทุนน้อยแต่มักได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง เป็นอีกครั้งที่งานก่อสร้างในภาคนี้ค่อนข้างใช้แรงงานไม่น้อย ความน่ากลัวและความน่ากลัวที่ภาคก่อนๆ ได้สะสมไว้ ภาคนี้แทบหาที่เปรียบไม่ได้ เพราะปริมาณค่อนข้างน้อย
แม้ว่าบทหนัง Insidious: The Red Door มันค่อนข้างอ่อนแอในเกือบทุกด้าน แต่อย่างน้อยหนังก็มีจุดแข็งที่จะพยายามทำให้มันเป็นหนังครอบครัวที่สร้างจากความสยองขวัญ เพราะรากเหง้าและภูมิหลังของครอบครัวแลมเบิร์ตในหนังเรื่องนี้. ถูกปูไว้ค่อนข้างมั่นคง โดยเฉพาะการพาผู้ชมไปสำรวจความร้าวฉานระหว่างพ่อลูก นั่นคือไฮไลท์ของเรื่องนี้ กลายเป็นว่า คุณอาจจะเสียน้ำตาให้กับหนังสยองขวัญ
ส่วนการแสดงก็ยังไว้ใจได้ดี โดยเฉพาะนักแสดงนำคนเดิมที่กลับมาอีกครั้ง แพทริค วิลสัน ที่ต้องพยายามให้หนักกว่าเดิม เพราะการกลับมารับบทจอช แลมเบิร์ต อีกครั้ง ครั้งนี้ต้องตีโจทย์แตกและแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นที่เขารับบทนำอย่าง The Conjuring ซึ่งต้องยอมรับว่าคาแร็กเตอร์และตัวตนในบทบาทของเขาจากหนังทั้งสองเรื่อง ค่อนข้างคล้ายกัน แต่เขาทำได้ดี
ขณะที่ “ไท ซิมป์กินส์” กลับมาคราวนี้พี่ใหญ่โตเป็นหนุ่มแล้ว แน่นอนว่าบทต้องรวมถึงการพัฒนาสำหรับเขาด้วย กลายเป็นเด็กหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยที่ต้องยอมรับว่าเขาเก็บรายละเอียดจากบทบาทเดิมที่เล่นเมื่อสิบปีก่อนได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องใช้เลยก็ตาม เพราะอายุตัวละครเปลี่ยนไป แต่ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี แค่การแสดงคงแบกหนังอย่างเดียวไม่ไหว
ดังนั้นโดยสรุปแล้ว Insidious: The Red Door เป็นการกลับมาอีกครั้งของแฟรนไชส์หนังสยองขวัญขวัญใจแฟนๆ ในยุค 2010 ที่บอกตรงๆ ว่าไม่ต้องกลับมาก็ได้ แต่ถ้ากลับมาก็ไม่เป็นไร เพราะดูเหมือนว่าหนังยังค่อนข้างธรรมดาอยู่ เกือบจะน่าผิดหวังเล็กน้อยในการกลับมาครั้งนี้ กับบทที่ยังอ่อนอยู่ พล็อตเรื่องไม่ค่อยหวือหวา ที่แย่ไปกว่านั้น ความน่ากลัวเก่าๆ หายไป เรื่องราวความผูกพันของครอบครัวเข้ามาแทนที่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ก็ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง: Insidious: The Red Door วิญญาณตามติด ประตูผีผ่าน
- ประเภท: สยองขวัญ
- ผู้กำกับ: แพทริค วิลสัน
- นำแสดงโดย: แพทริค วิลสัน, ไท ซิมป์กินส์, โรส เบิร์น
- ความยาว: 107 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 27 กรกฎาคม 2023
- ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10) - การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10) - การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10) - เทคนิคงานสร้าง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10) - บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰✰✰ (4/10)